Tumgik
#พูดเพราะ
jiljinmoo · 1 year
Photo
Tumblr media
ถ้าเธอชอบคนเลวๆ 😎 เธอก็ไปชอบเพื่อนเราดิ #อย่างสุดอ่ะ #บอกเลย #เลวสุด #จังไรสุด #สุดทุกทาง #เราหยุดแล้ว #เป็นคนดี #สุภาพ #เรียบร้อย #พูดเพราะ #หยอกๆ 😅🤣😂 https://www.instagram.com/p/Cl0mtIWv2SO/?igshid=NGJjMDIxMWI=
0 notes
amornlmon · 4 years
Text
พี่รู้มั้ยคะว่าหนูอยากมองหน้าพี่ใกล้ๆ อยากลองจับมือพี่ว่าจะนุ่มขนาดไหน อยากรู้ว่าพี่เป็นคนยังไง อยากมองตาใกล้ๆ อยากลองมีพี่เป็นแฟน อยากทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน อยากลองนั่งจ้องตาพี่นานๆ ทำไมพี่ถึงน่ารักขนาดนี้ได้ยังไง ครอบครัวพี่ต้องน่ารักแค่ไหน ถึงได้เลี้ยงพี่ได้เติบโตมาน่ารักขนาดนี้ ทั้งใจดี และอบอุ่น ยิ้มง่าย พูดเพราะ เอาใจใส่ งือทำไมดีแบบนี้ล่ะคะ จริงๆหนูไม่มีสเปคนะ แต่มาเจอพี่ หนูคิดว่าแบบพี่นี่แหละ สเปคหนูเลย ต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่ใกล้ๆพี่นะ บางทีพี่อาจจะมีแฟนอยู่แล้ว ดูดีๆแล้วอายุพี่คงห่างกับหนูประมาณ 6 ปีได้มั้ง ถึงอายุจะห่างแต่หนูชอบพี่มากจริงๆ ชอบในชนิดที่ไม่คิดว่าจะชอบได้ขนาดนี้ ถ้าได้อยู่ข้างๆพี่จริงๆ ก็คงเป็นฝันที่เกินฝันสำหรับคนอย่างหนู
พี่รู้อะไรมั้ยตอนนี้หนูเป็นนักศึกษาฝึกประสบการณ์สอน แต่พอชอบพี่มันยิ่งทำให้หนูอยากสอบบรรจุติดเร็วๆ อยากมีทุกอย่างให้พร้อมแล้วไปจีบพี่ ในใจคิดว่ากลัวมีคนมาแย่ง ก็พี่เล่นน่ารักซะขนาดนั้นคงต้องมีคนมาตามจีบเยอะเป็นธรรมดาอะเนาะ ส่วนหนูก็หน้าตาบ้านๆมากเลย ถ้าพี่มาชอบหนูก็คงเป็นอะไรที่แต้มบุญสูงสุดๆเลยล่ะ อยากมีทุกอย่างไปพร้อมกับพี่ อยากนั่งดูหนังข้างๆพี่ งือหนูต้องทำยังไงนะถึงจะได้พี่มาอยู่ข้างๆ
🥺🥺🥺🥺🥺🥺
2 notes · View notes
chobum13mir · 5 years
Text
-os- Hate you. [Hueningkai x Beomgyu]
Tumblr media
Title: Hate you
Writer: ‘พ่อเสือ
Fandom: TXT
Pairing: Hueningkai x Beomgyu
Rate: NC
ชเวบอมกยูเกลียดฮยูหนิงไคที่สุด..
.
.
.
.
.
“พะ.. พอแล้ว”
“..”
“อือ.. หนิงไค..”
พูดเสียงกระเส่าทันทีที่อีกฝ่ายละจูบ แขนเล็กออกแรงดันคนตัวใหญ่กว่าที่กำลังรุ่มร่ามกับซอกคอของตัวเอง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลซักเท่าไหร่
“บอกให้พอไง!”
เมื่อมืออีกฝ่ายเริ่มรุกล้ำเข้ามาใต้สาบเสื้อ คนตัวเล็กจึงออกแรงผลักสุดแรงจนหลุดพ้นจากพันธนาการของอีกคน หนิงไคยกหลังมือเช็ดริมฝีปาก ยืนมองคนตัวเล็กกว่านั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง
บอมกยูมองเขาตาขวาง ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มร้ายกาจจากเจ้าเด็กตัวโตที่พ่อแม่เขาชื่นชมนักหนา
ฮยูหนิงไคนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศจีนที่จำเป็นต้องมาอาศัยอยู่กับ Host Family ซึ่งก็คือบ้านของตระกูลชเว และถึงแม้จะอายุน้อยกว่าลูกชายคนเดียวของบ้านอย่างชเวบอมกยู หนิงไคกลับได้เรียนในชั้นเรียนเดียวกับเขา เพราะเจ้าเด็กนี่เข้าเรียนเร็วไปหนึ่งปี
มองจากภายนอกทุกคนอาจจะเห็นว่าฮยูหนิงไคก็เป็นแค่เด็กต่างชาติไร้เดียงสา น้ำเสียงหวานๆกับดวงตากลมใสเป็นประกายช่างดูบริสุทธิ์ เรียกความเอ็นดูให้กับพ่อแม่ รวมไปถึงครุบาอาจารย์ที่โรงเรียน แต่เชื่อเถอะ.. ทุกอย่างที่เห็นน่ะมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
และชเวบอมกยูก็คงเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับรู้ความร้ายกาจของฮยูหนิงไค
.
.
.
.
.
.
‘บอมกยู.. เข้าไปนะ’
‘เชี่ย!!!’
ประตูไม้สีครีมถูกเปิดออกหลังจากเสียงพูดของคนด้านนอกดังขึ้นไม่กี่วิ บอมกยูยังไม่ทันตั้งสติและดับบุหรี่ในมือด้วยซ้ำ ร่างของแขกไม่ได้รับเชิญก็มายืนอยู่ในห้องนอนของเขาแล้ว
คนตัวเล็กตกใจเลิ่กลั่กจนทำขี้บุหรี่หล่นโดนเท้าตัวเอง เสียงร้องโวยวายดังขึ้นทั่วห้องโดยมีหนิงไคยืนขำมองภาพคนอายุมากกว่าดิ้นพร่านเพราะความร้อน
“ไม่ยักรู้ว่านายสูบบุหรี่”
“พี่!!”
“???”
“พี่บอมกยู ฉันอายุมากกว่านายนะ”
หลังจากจัดการกำจัดมวนบุหรี่ในมือแล้วก็หันมาพูดเสียงดุใส่ เขาพยายามย้ำกับหนิงไคหลายครั้งว่าตนอายุมากกว่าและอีกฝ่ายควรเรียกเขาว่าพี่ แต่ดูท่าคนตัวโตจะไม่ใส่ใจเลยซักนิด และครั้งนี้ก็เช่นกัน หนิงไคยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าแล้วไง?
“เรียนก็เรียนชั้นเดียวกันจะมาเรียกพี่ให้สิ้นเปลืองคำทำไม”
“เห้อ ช่างเถอะ มีอะไร อยู่ดีๆก็เข้ามาห้องคนอื่น แถมไม่เคาะประตูด้วยซ้ำ มารยาทหายไปไหน”
ยืนกอดอกมองคนที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงของเขา ให้ตายขนาดพ่อกับแม่ยังไม่เคยนั่งเตียงของบอมกยูเลยนะ แล้วเจ้าเด็กนี่กล้าดียังไง แต่คนตัวเล็กก็คงทำได้แค่ทอดถอนหายใจ เพราะในสายตาพ่อกับแม่เขาน่ะหนิงไคเป็นเด็กดีที่หนึ่ง สุภาพ เรียบร้อย พูดเพราะ แถมยังเรียนเก่ง แค่เทอมแรกที่ย้ายมาเรียนที่เกาหลี แม้จะเป็นชาวต่างชาติ แต่หมอนี่ก็สอบได้ที่หนึ่งของห้อง
บางครั้งบอมกยูก็คิด หรือเป็นเพราะต้องแสดงออกให้คนภายนอกเห็นว่าตัวเองเป็นคนดี เลยชอบมาแกล้งเขางั้นหรอ คงอัดอั้นสินะ เสแสร้งชะมัด
“ก็แค่กะจะมาขอยืมสมุดแลคเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ แต่ดูเหมือนจะมีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า.. “
“อะ.. อะไร”
หนิงไคหรี่ตามองคนตัวเล็กที่ยืนเท้าเอวอยู่หน้าระเบียง กระตุกยิ้มมุมปาก ซึ่งนั่นทำให้บอมกยูรู้สึกไม่ปลอดภัยจนขาสองข้างก้าวถอยหลังอัตโนมัติ
“คุณน้ารู้ไหมว่านายสูบบุหรี่”
บอมกยูได้แต่กำหมัดแน่น แน่นอนว่าพ่อแม่ของเขาไม่รู้ และถ้าพวกท่านรู้ล่ะก็คงผิดหวังในตัวบอมกยูมากๆ บอมกยูเองก็เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดี และถูกคาดหวังจากครอบครัวสูง แต่เด็กที่ถูกเลี้ยงดูให้อยู่ในกรอบมานาน ก็ย่อมอยากแหกกฏเป็นธรรมดา
เพียงครั้งเดียวที่บอมกยูลองเจ้าสิ่งนี้จากคำยุของเพื่อน แต่จะให้พูดจริงๆแล้วในใจเขาก็อยากรู้ ความรู้สึกหลังจากที่ได้ลิ้มลองมันเป็นอย่างไร และความอยากรู้อยากลองนี่เอง ก็กลับกลายเป็นว่าบอมกยูติดมันเข้าให้เสียแล้ว
เขามักจะออกมายืนสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงห้องเมื่อมีเรื่องเครียดหรือไม่��บายใจ และแน่นอน พ่อกับแม่ของเขาไม่รู้
“จะเอาอะไร”
“หือ?”
“นายอยากได้อะไรจากฉัน”
คนอย่างฮยูหนิงไค ไม่มีทางที่จะเอ่ยถามออกมาเฉยๆ เขารับรู้ได้ถึงความเจ้าเล่ห์ แต่แผนการชั่วร้ายในรอยยิ้มนั้น
“อะไรกันก็แค่ถามเฉยๆเอง เงียบแบบนี้ก็แปลว่าท่านไม่รู้สินะ”
“...”
“งั้นฉันจะเป็นคนดีช่วยเก็บความลับนี้ไว้ก็แล้วกัน”
“แต่ว่า.. มันก็ต้องมีค่าตอบแทนหน่อยเท่านั้นเอง” เพราะบอมกยูรู้ดีว่าผลที่ตามมามันจะแย่ลงเพียงใด
.
.
.
.
.
.
“ออกไปได้แล้ว ฉันจะอ่านหนังสือ” เห็นหนิงไคยังยืนนิ่งมองเขาอยู่เจ้าของห้องเลยต้องออกปากไล่
“อ่านหนังสือ?”
“ใช่ พรุ่งนี้มีสอบเคมีนะ นายลืมไปแล้วหรือไง”
“ไม่ลืม แต่ฉลาดๆอย่างนายไม่ต้องอ่านก็คงผ่านสบายล่ะมั้ง”
ยืนกอดอกมองแต่ก็ได้แววตาดุกลับมาแทน เขาไม่ได้อยากพูดกวนบอมกยูนะ ถึงเขาจะสอบได้ที่หนึ่งของห้องแต่ที่สองก็คือชเวบอมกยูตรงหน้าเขานี่แหละ
“ออกไปจากห้องฉัน”
บอมกยูเริ่มอารมณ์เสียหนิงไคเลยต้องยอม จะว่าเขาโรคจิตก็คงได้ แต่เขากลับชอบเวลาได้เห็นบอมกยูทำหน้ายุ่ง คิ้วขมวดหรือพูดเสียงดุใส่เขา
คนตัวสูงเดินตรงไปที่ประตูมือเตรียมจับลูกบิด เห็นดังนั้นบอมกยูได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา เขาคิดว่าความสงบคงจะกลับมาหาเขาอีกครั้งแต่เปล่าเลย เมื่อคนที่คิดว่าเตรียมจะออกจากห้องของเขากลับหันหน้ามาหาอีกครั้ง
“อีกครั้งเดียว”
“ห้ะ?”
“ขออีกแค่ครั้งเดียว แล้วฉันจะออกไป”
“ไม่”
“ใจร้ายจัง”
หนิงไคเดินเข้ามาใกล้บอมกยูอีกครั้งแล้วก้มลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน “อีกแค่ครั้งเดียว นะ..” ถึงแม้น้ำเสียงออดอ้อนของอีกคนจะไม่ทำให้บอมกยูใจอ่อน แต่ระยะห่างที่ใกล้เพียงไม่กี่เซนกับใบหน้าคมก็ทำให้บอมกยูใจเต้นได้เหมือนกัน
“...”
“เห็นฉันเป็นคนชอบโกหกหรอ”
“ใช่ อะ--”
ยังไม่ทันที่บอมกยูจะพูดจบก็ถูกหนิงไคจู่โจมอีกครั้ง คนตัวเล็กพยายามดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล สองมือเล็กๆ ถูกรวบเอาไว้ด้วยมือหนิ��ไคข้างเดียว ลิ้นของคนอายุน้อยกว่าไล่เก็บเกี่ยวความหวานจากโพรงปากเล็กๆ
ร่างของบอมกยูเริ่มถูกผลักให้นอนราบกับเตียงและถูกคร่อมโดยหนิงไคในทันที คนตัวเล็กตาโตเมื่อรู้สึกว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตราย หนิงไคละจูบออกมา ยกมือเช็ดคราบน้ำลายที่ไหลเยิ้มจากจูบแสนเร่าร้อนเมื่อครู่ มองเหยื่อที่เริ่มสั่นเทา ด้วยสายตาพร้อมจะกลืนกิ่นคนด้านล่างไปทุกส่วน
“นะ.. ไหนบอกแค่ครั้งเดียวไง”
“แล้วฉันพูดหรอว่าไอครั้งเดียวที่ว่านั่นหมายถึงจูบ?”
“นายนี่มัน.. อ่ะ”
และเป็นอีกครั้งที่บอมกยูต้องกลืนคำที่เตรียมกร่นด่าคนด้านบนลงคอเพราะถูกอีกฝ่ายปิดปาก มือสองข้างปลดกระดุมเสื้อนักเรียนอย่างชำนาญ แม้บอมกยูจะทั้งทุบทั้งตีก็ไม่ทำให้หนิงไคยอมปล่อยแต่อย่างใด อกขาวเนียนเผยให้อีกฝ่ายเห็น หนิงไคละจูบออกมา มองร่างกายบอบบางนอนหอบหายใจและไม่รอช้าที่จะเข้าไปซุกไซร้ซอกคอนั้น
“อ่ะ..”
บอมกยูสะดุ้งร้องเมื่ออีกคนขบกัดสร้างรอยแห่งความเป็นเจ้าของที่ซอกคอของเขา หนิงไคค่อยๆเก็บเกี่ยวความหอมหวานน่าลิ้มลองจากร่างกายบอบบางไปทั่วทุกอณู ขบกัดติ่งไตสีชมพูสองข้างจนบอมกยูต้องร้องครางเสียงกระเส่า ให้ตายเถอะบอมกยูไม่ชอบเสียงน่าอายของตัวเองเลยจริงๆ แต่เขาก็อึดอัดเกินจะทนเก็บกลั้นเสียงเหล่านั้นไว้
มือสองข้างทำหน้าที่ไม่บกพร่องปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงนักเรียนออกด้วยความชำนาญ และเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้บ็อกเซอร์ของบอมกยูเขาก็ได้แต่ยิ้มมุมปาก อย่างว่าล่ะนะเด็กผู้ชายวัยอย่างเขาสองคนที่ไวต่อสัมผัสแบบนี้ จูบนิด ลูบหน่อย ก็ไม่แปลกที่จะทำให้สิ่งที่อยู่ใต้บ็อกเซอร์นี้ตื่น
“ถ้าจะเอาแต่มองก็ลุกออกไปเลย ฉันไปจัดการต่อในห้องน้ำเอง”
“หึ อย่าใจร้อนสิครับคุณหนู ดูเหมือนว่ามันใหญ่กว่าครั้งก่อนด้วยไหมเนี่ย”
“อยากรู้ก็ลองใช้ปากนายวัดดูสิ”
.
.
.
.
.
.
.
.
“โอ๊ย เบาหน่อย เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ได้ยินหรอก”
“ไม่อยากให้พวกคุณน้าได้ยินก็ครางเบาๆสิครับ”
“นะ.. นาย อ๊ะ นายนั่นแหละ ก็กระแทก เบา.. เบาๆสิ! อ๊า”
สองคนเถียงกันตลอดการทำกิจกรรม แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกบอมกยูกับหนิงไคเถียงกันเสมอ ซึ่งบอมกยูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่มีใครซักคนยอมๆไปบ้าง แต่ก็นั่นแหละคนๆนั้นไม่ใช่เขาแน่นอน
ร่างเล็กคว่ำหน้าลงกับเตียง ชันศอกไว้พยุงน้ำหนักตัวเอง โดยมีหนิงไคประคองเอวแล้วกระแทกกระทั้นส่วนนั้นเข้ามาในช่องทางด้านหลังแบบไม่ค่อยปราณีนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็ทำให้บอมกยูรู้สึกดีไม่ใช่น้อย
“เรียกชื่อ.. อา เรียกชื่อฉัน”
“หนิง.. หนิงไค อ่ะ อ๊า.. ให้ตาย แรงอีกสิ”
“อืม.. อา..”
น่าอายชะมัด.. คือคำในหัวของชเวบอมกยูในตอนนี้ แต่เพราะอารมณ์ที่พุ่งสูงจนเกือบแตะเพดาน ต่อให้เขาต้องร้องเรียกชื่อหนิงไคอีกสิบรอบตอบแทนกับความสุขสมที่อีกคนกำลังมอบให้อยู่ตอนนี้ บอมกยูก็ยอม
เสียงเตียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดและเสียงครางของทั้งสองคนที่ดังระงมไปทั่วห้องจากกิจกรรมอันแสนร้อนแรงไม่สามารถเรียกความกังวลของทั้งสองคนที่ว่าจะทำให้พ่อและแม่ได้ยินอีกต่อไป ในเมื่อปลายทางของความสุขใกล้จะมาถึงเต็มที บอมกยูซุกหน้าไปกับหมอนสีฟ้าใบโปรดของเขา ครางเสียงหวานเข้ากับจังหวะการขยับสะโพกของคนด้านบน
หนิงไคที่ประคองเอวบอมกยูไว้จับขาคนตัวเล็กแยกออกเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปลึกขึ้น เร่งจังหวะไม่กี่ครั้งความสุขของคนก็ปลดปล่อยออกมาเต็มช่องทางด้านหลังของคนอายุมากกว่า หนิงไคเชิดหน้ารับความสุขสม ถอนแกนกายออกมา ชักรูดมันสองสามครั้งปล่อยออกมาเลอะบั้นท้ายบอมกยูที่ก่อนหน้านี้เขาขยำมันจนเป็นรอยมือ
“เสร็จแล้วก็ไปเลย เลอะเทอะชะมัด”
“อะไรกัน พอหมดประโยชน์ก็ไล่กันแบบนี้เลย”
“จะไปอาบน้ำ เหนียวตัว”
“งั้นขอทำตัวเป็นน้องชายที่ดีไปช่วยอาบได้ไหมครับ”
“ก็ไม่ได้บอกหนิว่าฉันจะอาบเอง”
ชเวบอมกยูเกลียดฮยูหนิงไคที่สุด
.
.
แต่ยิ่งไปกว่านั้น
.
.
เขากลับเกลียดตัวเองที่ดันชอบสัมผัสของฮยูหนิงไคไปซะได้..
end.
Talk;; ยินดีต้อนรับสู่นรกค่ะ รู้ว่าบาปแต่คงต้องขอลอง แงงงงงง
ใจรับมะไหวจริงๆ ตั้งแต่เห็นโมเม้นที่น้องหนิงเอามือดันประตูไม่ให้พี่หนีในตำนานอันนั้น
ตั้งใจแล้วว่าสงกรานต์นี้จะแต่งให้จบ ไม่งั้นก็คงดองต่อไป ช้าเพราะ NC เลยค่ะ ฮืออออ ไม่ถนัดจริง ;-;
ถ้าชอบก็คอมเม้นติดแท็กคู่นี้ในทวิตได้นะคะ เราก็ไม่รู้ว่าใช้แท็กไหนกัน #หนิงกยู? #ไคบอม? #หนิงบอม? #ไคกยู? เอาเป็นว่าแท็กมาเลยค่ะ เรารออ่าน<3  
5 notes · View notes
639money · 5 years
Photo
Tumblr media
084-2455696 👑มีสติ ปัญญาดี มีเหตุผลหลักการ👑 👑คำพูดน่าเชื่อถือ นำเสนอเก่ง👑 👑พูดเพราะ ค้าขายดี เจรจาอ่อนหวาน👑 👑ผู้ใหญ่เมตตา เป็นที่รัก👑 ทรูมูฟ เติมเงิน 2900 เบอร์มงคล ความหมายดีดี ‪ ‪ สนใจติดต่อ ‬ 📞 084-2364665 📞 095-6398789 ✅ Line: @639money Add friends👉🏻https://goo.gl/pczWvy #เบอร์มงคล #เบอร์สวย #เบอร์เสริมดวง #เบอร์สุขภาพ #เบอร์vip #เบอร์มงคลเลขศาสตร์ #เลขศาสตร์ #พลังตัวเลขพลิกชีวิต #มังกร #หงส์ #เลขศาสตร์ผลรวมดี #มังกรเรียกทรัพย์ #เบอร์ดี #เบอร์จำง่าย https://www.instagram.com/p/B05l9J2BLsh/?igshid=1xv7cojv942a4
0 notes
9bertpix · 5 years
Photo
Tumblr media
ปลาอะไร...พูดเพราะ ? หลายคนชอบเอามุขนี้มาเล่น...😀😀 ปลาคาร์ฟ (คร้าบ) สวัสดีวันศุกร์ วันเวลาผ่านไปไวมาก วันศุกร์แรกของเดือนสิงหาคม แล้ว...จะศุกร์นี้ หรือ...จะสุขไหน ก็ขอให้สุขกันทุกวันเวลา สุขทุกวินาทีครับ ✌️ #9Bert #นายเบิร์ต https://www.instagram.com/p/B0o7Dh7DuxU/?igshid=10o4bjwmfq3g1
0 notes
yoperkafp · 5 years
Text
ประวัติการทำงานเพื่อสังคมชุมชน
-เมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านเจริญศิลป์หมู่ที่  2 และได้อยู่ในตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการเมื่อ ปี พ.ศ. 2542
อุปนิสัย
คุณพ่อผู้ใหญ่แสวง  จีนวงศ์ เป็นคนอารมณ์ดี  มีน้ำใจ  คุยสนุก พูดเพราะ  วางตนเหมาะสม  ขยันขันแข็ง  รับผิดชอบงานในหน้าที่ และเป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ไว้วางใจของเพื่อนร่วมงาน และชาวบ้านเจริญศิลป์ตลอดมา
ความสามารถพิเศษ
เมื่อครั้งบวชเป็นสามเณรมีชื่อเสียงทางการเทศน์มหาชาติกัณฑ์กุมาร ในงาบุญพระเวสน์  จนญาติโยมหามแห่ไปรับกัณฑ์หลอนเป็นประจำแทบทุกงาน เมื่อมาเป็นผู้ใหญ่บ้านได้จัดรายการเอิ้นลุกปลุกตื่นทางเสียงตามสายตอนตี  5  ทุกวัน เพื่อปลุกชาวบ้านให้ตื่นขึ้นนึ่งข้าวใส่บาตรพระตอนเช้า โดยใช้นามแฝงว่า  ตู้ขะหรับ  จนเป็นที่ติดปากชาวบ้านเรียกชื่อผู้ใหญ่แสวง  จีนวงศ์ ว่า ตู้ขะหรับ ตั้งแต่บัดนั้น
วาระสุดท้าย
เมื่อวันที่  25  ตุลาคม  พ.ศ.  2553  เวลา  11.00 น.  ได้มีผู้ไปพบศพคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ในป่าด้านทิศตะวันออกของที่ว่าการอำเภอเจริญศิลป์ จึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเจริญศิลป์  เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวห้องทุกฝ่ายได้ไปชันสูติพลิกศพแล้วสันนิษฐานว่า คุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ น่าจะขี่รถจักรยานพ่วงล้อออกจากบ้านเพื่อไปเก็บฟืนในป่าตรงที่ได้พบศพ  หลังจากเก็บฟืนได้เพียงพอแก่ความต้องการแล้ว จึงขึ้นนั่งสตาร์ทรถก็พอดีเป็นลมหน้ามืดตกลงจากอานรถ เพราะสภาพศพมีขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซด์  และคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์  น่าจะเสียชีวิตประมาณวันที่  8  ตุลาคาม  พ.ศ.  2553 เพราะเย็นวันนั้นหลานสะใภ้ให้การว่าได้นำหมกปลาซิวไปฝาก  1  ถุง โดยห��อยไว้ที่ประตูหน้าบ้าน วันต่อ ๆ มากลับไปดูก็ยังเห็นถุงปลาซิวห้อยอยู่อย่างเดิม แสดงว่าคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ น่าจะเสียชีวิตแล้ว จึงไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย สิริอายุได้  67  ปี  ยังความเศร้าโศกเสียใจ ให้เกิดกับลูกหลานและญาติพี่น้องทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
อกุศลกรรมใด  ที่เป็นกรรมไม่ดี  ซึ่งคุณผู้ใหญ่พ่อแสวง  จีนวงศ์  ได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่  ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งโดยเจตนาและไม่มีเจตนา ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมนั้นแก่คุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ ด้วย เทอญ
กุศลกรรมใดที่เป็นคุณงามความดี ซึ่งคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ ได้ทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่  ขอได้โปรด มาเป็นพลัง  อำนวยผลดลบันดาล ส่งดวงวิญญาณคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ไปสู่สุขคติ ในสัมปรายภพด้วย…เทอญ
ขอเรียนเชิญทุกท่านยืนนั่งตามอัธยาศัย   ตั้งใจสงบนิ่ง  1  นาที  เพื่อไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณคุณพ่อแสวง  จีนวงศ์ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ  ขอกราบเรียนเชิญครับ
พอครบ 1 นาที
พิธีกร หรือ ลูกสาวของพ่อแสวง  จีนวงศ์   แล้วแต่จะตกลงกัน ส่วนใหญ่จะให้พิธีกรเป็นผู้อ่าน :
เปิดเพลงธรณีกรรแสงเบา ๆ และอ่านบทกลอนไว้อาลัยต่อไปนี้เบา ๆ เน้นอักขระ จังหวะให้น่าฟัง น่าประทับ
0 notes
sirekiho · 5 years
Text
ชีวิตการครองเรือน
คุณพ่อผู้ใหญ่พยนต์  ประเสริฐกุล ได้แต่งงานกับนางสำลี  อวยพร  ชาวบ้านเจริญศิลป์  หมู่ที่  2   ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ช่วยกันประกอบอาชีพทำนา  ว่างจากหน้านาก็ลงไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพมหานครเพื่อหาเงินมาสร้างบ้านเหมือนคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน  มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 2 คน คือ
นางสาวธนพร  ประเสริฐกุล  เรียนจบชั้น ปวส. การบัญชี  ปัจจุบันทำงานบริษัทอาชิโมริ (ประเทศไทย) จำกัด
นายจักรณรงค์   ประเสริฐกุล    เรียนจบชั้น ปวส.  ช่างไฟฟ้า
ประวัติการทำงานเพื่อสังคมชุมชน
-เมื่อปี พ.ศ.  2547  ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านเจริญศิลป์หมู่ที่  2
-ประธานกองทุนเงินล้าน
-อสม.
-กรรมการ อป.พร.
-สมาชิก ช.ร.บ.
-ตัวแทนกรมพัฒนาที่ดินของตำบลเจริญศิลป์ (หมอดินอาสา)
-ประธานศูนย์สาธิตการตลาดของบ้านเจริญศิลป์ หมู่ที่  2
ประธาน กต.ตร. (คณะกรรมการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจ)
อุปนิสัย
คุณพ่อผู้ใหญ่พยนต์  ประเสริฐกุล  เป็นคนอารมณ์ดี  มีน้ำใจ  คุยสนุก พูดเพราะ
วางตนเหมาะสม  ขยันขันแข็ง  รับผิดชอบงานในหน้าที่  เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา
และเป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ไว้วางใจของเพื่อนร่วมงาน  ครอบครัว และชาวบ้านเจริญศิลป์หมู่ที่  2  มาตลอดเวลาระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
วาระสุดท้าย
เมื่อปี พ.ศ.  2537  คุณพ่อผู้ใหญ่พยนต์  ประเสริฐกุล  เป็นไข้ตัวเหลืองตาเหลือง และมีอาการเจ็บที่บริเวณชายโครงด้านขวา จึงเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเจริญศิลป์ พบว่าถุงน้ำดีอักเสบจึงไปเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศรีนัครินทรวิโรจน์  จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภก์  จนอาการหายเป็นปกติ  พออยู่มาได้  13 ปี  จนถึงปี พ.ศ.  2550  อาการของโรคเก่าได้กลับมากำเริบอีกครั้ง  จึงได้ไปเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น  พบว่าเป็นโรคมะเร็งตับ จึงพักรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่นเป็นเวลา  1  เดือน  แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงได้ออกมาพักรักษาพยาบาลที่บ้านตามอัตภาพ เมื่อวันที่  1  กันยายน  2550  อาการทรุดลงเป็นลำดับ และได้จากไปอย่างสงบเมื่อวันที่  16  กันยายน  พ.ศ.2550  เวลา  13.30  น.  สิริอายุได้ 50  ปี  ยังความเศร้าโศกเสียใจ ให้เกิดกับภรรยา  ลูกหลานและญาติพี่น้องทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
0 notes
calliopewind · 6 years
Text
CUT : N S B
ไม่รออะไรให้ยื้ดเยื้อไปกว่านั้น ชานยอลลุกขึ้นประกบปากสวยก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมแทน
“แล้วพี่อย่ามาขอร้องให้ผมหยุดแล้วกัน”
“นายต่างหาก ที่จะครางชื่อพี่ไม่หยุด” เรียวลิ้นทั้งคู่สอดประสานกันอย่างดุเดือด ชานยอลถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว แม้จะยังแลกจูบกับคนเป็นพี่ไม่หยุด — เสื้อชั้นในลูกไม้บนเรือนร่างเย้ายวนถูกโยนออกไปให้พ้นทาง
สองมือกำยำกอบกุมเนินนมสวยอย่างมันมือ ทั้งบีบ ขย้ำจนมันแดง ก่อนจะละเลงปลายลิ้นร้อนลงบนยอดอกสีชมพูอ่อนอย่างหืนกระกาย — การเล้าโลมของชานยอลทำให้แบคฮยอนเสียวซ่านไปทั้งตัวจนต้องเอานิ้วมากัดไว้ แม่จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ชานยอลคือคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกกระสันได้มากขนาดนี้
ปล่อยมือข้างซ้ายออกจากเนินอก ชานยอลก็สอดมือใหญ่เข้าไปกางเกงในตัวจิ๋วที่เขายังไม่ได้จัดการถอดออกจากกายเล็ก นิ้วกลางกับนิ้วชี้ค่อย ๆ ไล่ลงไปยังเนินสวาทที่ไร้ขน สัมผัสลื่นมือยิ่งทำให้แก่นกายตรงกลางแข็งขืนขึ้นมาเท่าตัว อยากจะยัดเจ���าลูกชายเข้าไปข้างในของหญิงสาวที่ตัวเองชอบแทบแย่ แต่เขาก็อยากจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่านี้ก่อน — สองนิ้วใหญ่ที่ลูบไล้ไปมาค่อย ๆ สอดเข้าไปในร่องสวาทที่กำลังฉ่ำน้ำ
“น้ำเยอะมากเลยนะ คนสวย”
“อะ อื้ออ ช ชาน...ยอล อย่าแกล้ง อ๊า” เป็นจังหวะเดียวกันที่ชานยอลสอดนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะเริ่มจากช้า ๆ ก่อนจะเพิ่มระดับความถี่ จนแบคฮยอนครวญครางไม่เป็นภาษารสจูบถูกมอบให้กันและกันอีกครั้ง ชานยอลผละออกก่อนที่จะมองหน้าคนใต้ร่างอย่างสื่อความหมาย เขาเหมือนกำลังฝันอยู่ 
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ะพี่ เป็นพี่จริง ๆ ใช่ไหม พี่แบคฮยอน” แบคฮยอนหัวเราะหน่อย ๆ อารมณ์ที่จุดกันเมื่อสักครู่กำลังผ่อนลงเล็กน้อย — มือเล็กไล้ขึ้นไปที่ใบหน้าคมก่อนแววตาอ่อนอ่อนโยนที่สื่อความหมายไม่ต่างกันเผยให้อีกคนได้รับรู้
“พี่เองที่อยู่ตรงหน้าชานยอล พี่ชอบชานยอลนะ ชอบมากเหมือนกัน ถ้าไม่ชอบพี่ยอมให้เราทำแบบนี้กับพี่หรอก”
“พี่แม่ง ทำให้ผมรู้สึกบ้า”
“พูดไม่เพราะเลยสุดหล่อ พูดเพราะ ๆ กับพี่สิคะ แล้วพี่จะครางเสียงหวาน ๆ ให้ฟัง” และอีกครั้งที่ชานยอลจู่โจมคนใต้ร่างอย่างหื่นกระหาย นิ้วมือที่ทำงานค้างอยู่สานต่องานเดิม ก่อนที่มันจะเกี่ยวเอากางเกงในตัวจิ๋วที่ปกปิดความสวยงามเอาไว้ออกไปทางเรียวขาเล็ก
ชานยอลจับขาเล็กทั้งสองข้างให้ออกจากกันพร้อมกับตั้งฉากให้เป็นรูปตัวเอ็ม เขามองหน้าแบคฮยอนที่เหมือนจะเขินอยู่หน่อย ๆ ก่อนจะก้มลงหาเนินสวาทตรงหน้า ใช้นิ้วแหวกช่องรักออกเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งปลายลิ้นร้อนเข้าไปทักทาย ทั้งเลียและดูดดึงน้ำหวานจากคนตัวเล็ก
“อ่ะ ฮื่อออ ช ชาน...ยอลขา พ พี่เสียว อ๊าาา” เสียงจ๊วบจ๊าบที่ฟังแล้วดูน่าอาย แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด ทั้งอบอุ่นและเสียวซ่านไปพร้อม ๆ กัน
“ผม ไม่มีถุงยางนะ พี่โอเคไหม?” ชานยอลถามหลังจากที่เขาละจากเนินสวาทและพร้อมที่จะทำการสอดใส่ด้วยลูกชายขนาดใหญ่แปดนิ้ว
“อะ อื้อ ม ไม่เป็นไร เข้ามาเถอะ” แบคฮยอนหลับตาลงอย่างเขินอาย เพราะเขาต้องการชานยอลมากเหลือเกิน — คนตัวโตยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มอีกคนที่หลับตาหนีกันไปแล้ว
“พี่นี่มัน...โคตรน่ารักเลย” เพียงแค่นั้นชานยอลก็แหวกคนตัวเล็กออกอีกครั้งก่อนจะแทรกตัวเข้าไปตรงกลาง รูดรั้งความเป็นชายสองสามครั้งเพื่อเตรียมพร้อมมอบความสุขสมให้กับคนที่ชอบ จับปลายหัวที่บานใหญ่ถูกตรงร่องให้อีกคนได้เสียวกระสันก่อนจะค่อย ๆ สอดแท่งเอ็นใหญ่เข้าไปจนมิดดาม
“อะ อ๊า จ เจ็บจัง” แบคฮยอนผวาตัวกอดชานยอดเพราะความใหญ่โตที่แทรกเข้ามายังส่วนล่าง มันทั้งใหญ่และยาวจนเธอเจ็บ อาจจะด้วยความที่ห่างหายเรื่องนี้ไปนานเลยทำให้มันคับแน่น แม้ชานยอลจะเบิกทางไว้แล้วก็ตาม
“อ่าาาาห์ โคตรแน่นเลย” ชานยอลแช่ค้างเอาไว้อยู่สักครู่เพื่อให้มันปรับสภาพ ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มจังหวะเนิบนาบ���ห้พี่คนสวยได้ซึมซับความรู้สึกดี ๆ จากเขา
เรียวแขนสองข้างโอบคอแกร่งเอาไว้ก่อนจะป้อนจูบให้กันและกัน — แรงจังหวะที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างทั้งร่างสั่นคลอนไปหมด เสียงเตียงที่ดังเอียดอาดยิ่งเพิ่มความรู้สึกเสียวให้กับคนทั้งคู่
“ช ชาน...ยอลขา อื้อออ อ๊าาห์ แรง ๆ ค่ะ อึกกก” ชานยอลจับสะโพกอวบอิ่มไว้แน่นก่อนจะโหมแรงกระแทก เขาเกร็งสะโพกตัวเองเล็กน้อยเพื่อจะเพิ่ทแรงกระทั้นให้รู้สึกเสียวยิ่งขึ้น “บ แบคฮยอน อ่าาาห์ ผม รัก พี่นะครับ ฮะ อ่า” ชานยอลพร่ำบอกคำรักคำหวานให้กับคนที่เขาชอบ มันสุขสมจนเกินความคาดหมาย — เขาเหมือนกำลังลอยอยู่บนฝากฟ้าที่มีนางฟ้าอย่างแบคฮยอนคอยขับกล่อมด้วยเสียงครางหวาน ๆ 
คนตัวเล็กเปลี่ยนท่ามาขึ้นคร่อมแทนแม้ส่วนล่างพวกเขาจะยังเชื่อมกันอยู่ เส้นผมยาวสลวยเป็นลอนสั่นไหวไปมาตามแรงกระแทก — มือของทั้งสอดประสานเข้ามาหากันแน่น แบคฮยอนหลับตาเพราะความเสียว แต่ชานยอลกลับไม่สามารถหลับตาลงได้เลย เพราะความงดงามของผู้หญิงตรงหน้ามันสวยเกินที่จะไม่มองได้ ชานยอลช่วยเร่งจังหวะแรงกระแทกสุดท้ายก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะเสร็จไปพร้อมกัน 
และชานยอลมีสำนึกมากพอที่จะปล่อยน้ำพันธุ์ชั้นดีของตัวเองออกมาข้างนอกแทนที่จะปล่อยข้างในตัวหญิงสาว เขารักพี่แบคฮยอนเกินกว่าที่จะเสี่ยงทำอะไรเพื่อผูกมัดอีกคน แถมมันยังจะเป็นการทำลายอนาคตอีกด้วย พวกเขายังมีเวลาอีกมากและเขาอยากให้พี่แบคฮยอนเป็นคนตัดสินใจ
อย่าลืมกลับไปอ่านต่อที่เหลือนะคะ
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1490707&chapter=46
1 note · View note
itamtab · 6 years
Photo
Tumblr media
8 มือกีตาร์ผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศ OVERDRIVE GUITAR CONTEST X หมายเลข 5 อรรถพร สุคม (สอง) อายุ 22 ปี จังหวัดกรุงเทพมหานคร ไปร่วมเชียร์รอบชิงชนะเลิศ ในวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2018 Parc Paragon เริ่ม 16.00 น น้องสองเป็นน้องที่น่ารักกกกกก นิสัยดี พูดเพราะ ไม่ทะลึ่งไม่ลามก พูดไม่มากด้วย
0 notes
upatham-blog · 6 years
Photo
Tumblr media
#เราไม่ใช่กระจก ที่สะท้อนความคิดใคร สะท้อนอะไรที่ไม่ดีของสิ่งใดๆ #ไม่ใช่แรงมาก็แรงกลับ ดีมาก็ดีกลับ เลวมาก็เลวกลับ #นั่นไม่ใช่คุณสมบัติของความดี #จิตต้องตั้งตนเสมือนป็นตัวกรอง #คัดแต่สิ่งที่ดีเก็บไว้ #คัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกจากชีวิต #ไม่อ่อนแอกับความก้าวร้าว #หากเข้มแข็งกับความอ่อนโยน #พิจารณาให้ดีอย่างมีสติ หนังสือ ไม่ได้ตัดสินที่ หน้าปก ใจที่สกปรก ไม่ได้ตัดสินที่ หน้าตา อย่าไปดูที่ "เรียนสูง" แค่ไหน แต่ให้ดูที่เอาไปใช้ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ รึเปล่า. อย่าไปดูว่า "พูดเพราะ" แค่ไหน แต่ให้ดูที่ ทนคำด่า ได้หรือเปล่า อย่าไปดูที่ "เก่ง" แค่ไหน แต่ให้ดูที่แก้ปัญหาบนพื้นฐานความดี ได้หรือเปล่า. อย่าไปดูที่ "อายุมาก" แค่ไหน แต่ให้ดูที่การทำตัวให้น่าเคารพ หรือรู้จักควบคุมอารมณ์ ได้หรือ เปล่า. อย่าไปดูที่ "แต่งงานอลังการ" หรือวันนี้ "รักมากแค่ไหน" แต่ให้ดูที่อยู่กันนานได้หรือเปล่า. อย่าไปดูที่บอกว่า "ถือศีลฟังธรรม" แค่ไหน แต่ให้ดูที่ลด ละ เลิกได้จริงหรือเปล่า. อย่าไปเชื่อคำที่บอกว่า "ไม่เคยโกง" แค่ไหน แต่ให้ดูที่ว่าเมื่อมีโอกาสทำ แล้วยังไม่โกงได้หรือเปล่า อย่าไปดูที่ "รํ่ารวยหรือยิ่งใหญ่" มากแค่ไหน แต่ให้ดูที่ รู้จักแบ่งปันใครบ้างหรือเปล่า อย่าไปดูคนที่ต่อหน้าก็ "พูดดี ทำดี" ถูกใจเรา แค่ไหน แต่ให้ดูที่ลับหลังเรา เค้าทำด้วยหรือเปล่า อย่าไปดูที่ "ฉลาด หน้าตาดี คิดดี ดูดี" แค่ไหน แต่ให้ดูว่า เคยทำความดีอะไรมาบ้าง รึเปล่า Thanks Bro, @orachoon for sharing (at โรงแรมยะลาแกรนด์พาเลซ)
0 notes
kru2day · 7 years
Text
แผนการสอน วิชาภาษาไทย ป.1
หน่วยที่ หน่วยการเรียนรู้ จำนวนชั่วโมง เตรียมความพร้อม การเตรียมความพร้อม ๑๕ ๑ ใบโบก ใบบัว ๑๕ ๒ ภูผา ๑๕ ๓ เพื่อนกัน ๑๕ ๔ ตามหา ๑๖ ๕ ไปโรงเรียน ๑๕ ๖ โรงเรียนลูกช้าง ๑๕ ๗ เพื่อนรัก เพื่อนเล่น ๑๕ ๘ พูดเพราะ ๑๕ ๙ เกือบไป ๑๕ ๑๐ เพื่อนรู้ใจ ๑๖ ๑๑ ช้างน้อยน่ารัก ๑๔ ๑๒ วันสงกรานต์ ๑๖ รวม ๑๙๗ แนวทางกำหนดหน่วยการเรียนรู้ฯ ป.๑ หน่วยการเรียนรู้การเตรียมความพร้อม หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ ใบโบก ใบบัว…
View On WordPress
0 notes
oat-anirut · 7 years
Text
ลองเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความแนวท่องเที่ยวกันบ้าง สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขียนเรื่องราวแบบนี้ เป็นทริปที่ไม่ได้ขายความถูก ไม่ได้ขายความหรู และไม่ได้ขายของใดๆ เพราะไม่มีสปอนเซอร์เลยจ้า มีแต่ตังตัวเองล้วนๆ ดังนั้นจะเป็นการเล่าที่ตรงไปตรงมาชอบก็ชม ไม่ชอบก็ขอบ่นนิดนุง(ไม่ดราม่า) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปแรกที่ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดินทางจนถึงก้าวสุดท้ายที่ต้องเดินเข้าประตูบ้าน เอาละคงอยากอ่านกันแล้วใช่มั้ยล้า งั้นขอเชิญทุกท่านเดินทางไปกับเราโดยรถไฟขบวนอีสานวัตนากันเลย ฉึกกะฉักๆ ปู้นๆ
ใครที่มีเวลาน้อยต้องการอ่านเวอร์ชันย่อให้ไปอ่านใน Pantip ส่วนใครที่พอมีเวลาว่างต้องการอ่านเวอร์ชันจัดเต็มอ่านต่อเลยจ้าาา
จุดเริ่มต้น
สวัสดีครับผมชื่อข้าวโอ๊ตนะครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าที่ผมประทับใจทริปนี้เพราะเป็นทริปที่ได้ไปกับเพื่อนๆ ซึ่งก็นานมาแล้วที่ไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อนๆจริงๆจังสักที มาครั้งนี้ก็เจอทริปนอนเต้นท์กันเลยทีเดียว ก็แอบหวั่นๆอยู่ว่าจะไหวมั้ย ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็ชอบนอนเต้นท์นะ แต่ก็อย่างว่า นี้มันนานแล้วที่ไม่ได้ออกทริปแบบลุยๆกัน บอกตามตรงว่าประหม่าไปนิดนุง ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์ตอนที่เพื่อนๆชวนไปทริปนี้ตอนที่ไปนั่งทานพิซซ่ากันที่ Central world ช่วงธันวาคม 2016
แต่พอเพื่อนพูดมาคำนึงว่า “ไปรถไฟขบวนใหม่กัน” เท่านั้นแหละ วู่วามเลยทีเดียว พิซซงพิซซ่าในมือก็ลืมหมด ตอบ “ตกลง” ไปทันที จริงๆแล้วผมก็รู้ตัวเองมานานแล้วแหละว่าเป็นคนแพ้รถไฟ ไม่ใช่เมารถไฟนะ แต่ชอบนั่งมากๆ เมื่อก่อนชอบทุกชั้น แต่ตอนนี้เริ่มแก่แล้วขอแบนชั้น3 กับคนขายของบนรถที่เราต้องเอี้ยวตัวหลบไปก่อนเน้อ ซึ่งเราก็เข้าใจอาชีพเค้านะ แต่เราก็สุขภาพเราก็ไม่ไหวเท่าตอนเด็กๆแล้ว ตอนนั้นแค่ชะเง้อไปนอกหน้าต่างให้ลมตีหน้าอะไรๆก็สนุกไปหมด ส่วนตอนนี้แค่ฝุ่นปลิวมาโดนหน้าก็หงุดหงิดแล้ว ดังนั้นรถไฟขบวนใหม่จึงเป็นสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยโอกาสนี้มานานมาก จะไม่คว้ามันไว้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปอะโน๊ะ (ในพันทิปผมได้เขียนไว้ว่าทำไมผมถึงชอบรถไฟตามไปอ่านกันได้นาจา?)
อีสานวัตนา
ไม่ได้เขียนผิดจาก “วัฒนา” แต่อย่างใด ชื่อนี้มีที่มาที่ไป มาถึงตรงนี้หลายๆคนที่ไม่ได้ตามข่าวก็อาจจะงงๆว่ามันคืออะไร จริงๆแล้วมันคือชื่อขบวนรถไฟขบวนใหม่ครับ ตามข้อมูลจากเพจ ทีมนั่งรถไฟ กับนายแฮมมึน (ผมเป็นแฟนคลับนายแฮมมึน ข้อมูลเรื่องรถไฟแน่นมากๆ รู้ยันหัวน๊อตรถไฟ) ขอ Copy แปะเอาดื้อๆเลยจ้า
อีสานวัตนา เกิดจากคำว่า อีสาน แปลว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กับคำว่า วัตนา (วตตน) แปลว่า “ความเป็นอยู่”
อีสานวัตนา แปลว่า “ความเป็นอยู่แห่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ”
สำหรับภาษาอังกฤษ (ผมยังไม่เห็นนะครับ) คาดว่าจะสะกดว่า “Isanvatana”
Credit by: นายแฮมมึน
ซึ่งก็เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่านได้พระราชทานชื่อรถไฟทุกสายเลยดังนี้
1. เส้นทางสายเหนือ (กรุงเทพ-เชียงใหม่) พระราชทานชื่อว่า “อุตราวิถี”  หมายถึงเส้นทางสู่ภาคเหนือ 2. เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพ-อุบลราชธานี) พระราชทานชื่อว่า “อีสานวัฒนา” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3.เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพ – หนองคาย) พระราชทานชื่อว่า “อีสานมรรคา” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4.เส้นทางสายใต้ (กรุงเทพ-หาดใหญ่) พระราชทานชื่อว่า “ทักษิณารัถย์” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคใต้
ข้อมูลรายละเอียดอื่นๆขอแปะเป็นลิงค์ไว้ข้างล่างละกันนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป
สรุปสถานที่สำคัญที่เราไป(บางที่ปรับตามสถานการณ์)
1. น้ำตกสร้อยสวรรค์ 2. ผาแต้ม 3. เสาเฉลียง 4. เขื่อนสิรินธร 5. แก่นสะพือ
*แต่ถ้าอ่านตามจะพบว่ามีอีกหลายที่เลยที่อยู่ระหว่างทางที่เราไปกัน ตามมาอ่านกันได้เลยจ้า
เกือบตกรถไฟ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นเดือนมกราคมเพื่อนเราก็เริ่มจองตั๋ว ได้ฤกษ์งามยามดีในการเดินทางทริปนี้คือ 27-29 มกราคม ซึ่งต้องเดินทางวันที่ 27 รถออกจากหัวลำโพงตอน 20.30 น. แต่วันเดินทางจริงโชคก็ไม่เข้าข้างเอาซะเลย เพราะงานไม่เสร็จจ้า 19.00น. ยังนั่งทำงานอยู่ที่ปทุมธานีอยู่เลย กระเป๋าก็ไม่ทันได้เตรียม เลยต้องงัดแผนสำรองออกมาใช้ คื��� จะไปขึ้นที่สถานีรังสิตซึ่งเดินทางโดย Taxi  30 นาทีก็ถึงแล้ว ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่ารถจอดที่รังสิตมั้ยเลยไปค้นในเพจนายแฮมมึนเพราะเคยเห็นอยู่หลัดๆ แต่ด้วยความลนลานเลยหาไม่เจอซะงั้น จึงโทรไปถาม Call center 1690 ได้คำตอบมาว่าอีสานวัตนาจะผ่านรังสิตผ่านตอน 21.21 น. (เวลาสวยมาก) ซึ่งประทับใจ Call center คนนี้มากคุยดี พูดเพราะ พอปั่นงานเสร็จ ก็ไปจัดกระเป๋าด้วยความเร็วแสง+Fast8 แล้วก็บึ่ง Taxi ไปเลยจ้าสนนราคาไป 107 บาท ยังเหลือเวลาให้นั่งรอรถอีกประมาณ 30 นาที เรียกได้ว่าทำเวลาดีมากแต่ก็ตื่นเต้นสุดๆ เพราะถ้าตกรถที่เล่ามาจากข้างบนก็ฝันสลายในพริบตา และคงไม่มีบทความนี้แน่นอน 555 แล้วก็มึนสุดๆด้วย ขนาดที่ว่าลืมไปเลยว่าการดูเลขตู้จากนอกตัวรถมันดูยังไง ซึ่งเค้าก็มีจอ LED ติดอยู่แต่ด้วยความมึนก็มองไม่เห็นซะงั้น แต่ยังดีที่พนักงานบริการบนรถถามเราและชี้ทางบอกให้เดินไปทางหัวขบวน ไม่งั้นก็คงมึนอีกนาน จนสุดท้ายก็เจอเพื่อนๆที่เค้าขึ้นมาตั้งแต่หัวลำโพง สรุปทริปนี้เราไปกัน 5 คน เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยกันหมดเลยจ้าาา
ช่องสี่เหลี่ยมนั้นคือจอ LED ที่มีข้อมูลเลขตู้ และสถานีต้นทางปลายทาง รูปจาก: ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
This slideshow requires JavaScript.
รูปนี้ถ่ายตอนเช้าเพราะใกล้ถึงอุบลฯแล้ว (หารูปที่ถ่ายตอนขาไปไม่เจอจีๆ) สำหรับการเดินทางบนรถไฟขบวนนี้ตั้งแต่ขึ้นมาจนลงรถโดยภาพรวมก็โอเคหมดนะ Facility ที่มีให้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กไฟ, กล้องวงจรปิด, ประตูไฟฟ้า, ห้องน้ำ มีไฟสัญญานบอกว่าว่างหรือปล่าว บอกตั้งแต่ในจอที่อยู่ในตู้ที่เรานอน ดังนั้นเราไม่ต้องเดินมาเช็คหรือมาเคาะที่ประตูห้องน้ำเลย เพียงแค่ส่องจากที่นั่ง/นอนออกมาที่จอก็รู้ได้เลย, ที่ล้างจาน เอ๊ย ล้างมือ ก็สะอาดล้างได้สบายใจ แล้วก็มีห้องอาบน้ำด้วยแต่อยู่ในโซนของชั้น 1 นะ ขาไปเราต้องเดินไปทางท้ายขบวน ขากลับเราต้องเดินไปทางหัวขบวน ซึ่งห้องอาบน้ำเล็กมาก อันนี้เข้าใจอยู่ว่าพื้นที่จำกัด แต่ก็ครบครันไปด้วยเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่เหลว แชมพู ที่แขวนผ้า (อภัยให้) ดังนั้นถ้าใครไม่ได้พกมาก็ไม่ต้องห่วงจ้า แต่ระวังการอาบน้ำของเราให้ดี ต้องสุขุมและใช้วิชาตัวเบานิดนุง เพราะถ้าอาบแบบปกติแบบที่บ้านน้ำจะกระเด็นแบบ 360 องศา เสื้อผ้าที่แขวนไว้เปียกไม่เหลือให้ใส่แน่นอนจ้าา ขาไปเราไม่ได้อาบบนรถไฟเพราะอาบมาจากบ้านแล้ว(ขนาดมาเกือบไม่ทันก็ยังมีเวลาอาบน้ำอีกนะ) ได้มาลองอาบตอนขากลับ
เครื่องทำน้ำอุ่น ของจริงสวยกว่านี้นะ
มือถือหาย
ตอนนอนเราได้นอนชั้นบนซึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากกับชั้นล่าง แค่ความสูงมีให้น้อยกว่า(ใครตัวสูงแบบผมก็จะลำบากกว่านิดหน่อย) และไม่มีที่วางของเหมือนชั้นล่าง ราคาจึงต่างกัน แต่ไม่ได้ concern สักเท่าไหร่ เราอยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ก่อนนอนเราก็ไม่ลืมที่จะทดลองใช้ปลั๊ก 220v ชาร์จโทรศัพท์ไว้แล้วก็เล่นไปเพลินๆ(นิสัยไม่ดี ตูมตามมางานงอกอีก) รู้ตัวอีกทีก็ถึงศรีสะเกษแล้ว ก็เช็คโทรศัพท์ก่อนเลย แต่บระเจ้า!!! โทรศัพท์หายจ้าาา เลยนั่งระลึกชาติก่อนเลยว่าเราเอาไปไว้ที่ไหนหรือปล่าว ตื่นมากลางดึกแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าหรือปล่าว ก็ไม่นะ เลยชัวร์แล้วว่าตัวเองหลับคาโทรศัพท์ดังนั้นคงหาตำแหน่งโทรศัพท์ไม่ได้แน่ๆ แต่มันควรจะอยู่แถวๆนี้สิ นี่สินะที่ว่าไม่ควรเล่นโทรศัพท์เวลาจะนอน แสดงว่าเราคงเพลียจากงาน+ตื่นเต้นกลัวไม่ทันรถจนหลับไปกับโทรศัพท์แน่เลย ไม่รู้โทรศัพท์หล่นใส่หน้าหรือปล่าว ก็วุ่นอยู่ในที่นอนประมาณ 10 นาทีก็ไม่ได้อะไร
เลยแง้มม่านออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น(รักษาฟอร์มนิดนึง) ก็เจอพนักงานนั่งอยู่ที่ห้องพักของเค้า ซึ่งจะอยู่ที่หัวของตู้โดยสาร ห้องพักของเค้าจะเป็นแบบนั่งเท่านั้นคงออกแบบมาไม่ให้นอนจะได้ดูแลผู้เดินทางได้ตลอดเวลา แต่ก็มีช่องให้อ่านหนังสือหรือวางแขนได้สบายๆอยู่ น้องเจ้าหน้าที่ก็หันมาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีอะไรหรือครับ” ผมก็รักษาท่าทีต่อไปแล้วค่อยเอ่ยปากอันง่วงๆว่า “โทรศัพท์…” คำท้ายๆพูดไม่รู้เรื่องละมันง่วงอยู่ 555 แต่น้องเค้าก็เข้าใจได้ด้วยสัญชาตญาณนักแก้ปริศนารายการเวทีทอง น้องเค้าก็หันไปในห้องทำงานแล้วกลับออกมากับของที่อยู่ในมือสีดำๆคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเคสโทรศัพท์ของเรา และแล้วมันก็…“ใช่เลย” พระเจ้าช่วย กล้วยป้าแช่ม นั้นมันน้อง LG Nexus5 ในตำนานของเรา ตัดมาที่น้องพนักงาน เค้าก็อธิบายว่ามีผู้โดยสารเค้าเดินมาเข้าห้องน้ำแล้วเก็บได้ที่พื้นบริเวณที่คุณนอนนี้แหละ โอ้ว เรานี้โล่งอกแล้วก็ขอบคุณน้องพนักงานและเดินไปขอบคุณพี่ที่เก็บได้ แสดงว่ายังมีบุญอยู่บ้างนะเรา ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตว่าไม่ควรเล่นมือมือก่อนนอนบนรถนอนจ้า 555 จากนั้นก็นั่งรอไม่นานก็ถึงปลายทางของเรา สถานีอุบลราชธานี
ถึงแล้วจ้าสถานีอุบลราชธานี
เดินทางให้มันส์สุดใจ มอเตอร์ไซค์(เช่า)ต้องมี
เล่ามาถึงตอนนี้ก็ขอแนะนำตัว “ป๊อป” เพื่อนผู้เป็นกำลังหลักในการติดต่อร้านเช่ามอเตอร์ไซค์, นำทาง และแบกของในทริปนี้ ถ้าขาดป๊อปไปคงลำบากกันน่าดู ส่วนผม “ข้าวโอ๊ต” ก็เป็นลูกทริปเดินตามคนอื่นๆไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แระ!!! บทผมน่าจะมีมากกว่านี้สินะ ป๊อปก็ให้ผมนำทางในเส้นทางไกลๆ ไม่ซับซ้อน ส่วนมากจะอยู่นอกเมืองและถ่ายภาพเบื้องหลังในมุมที่เค้าไม่ถ่ายกัน ฮาๆ ส่วนคนอื่นๆผมจะแนะนำเมื่อถึงบทของเค้านะครับ อิอิ
ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ป๊อปทำการบ้านมาดี(แน่นอน หมอนี้มันคือมันสมองของกลุ่มนี่นา ฮาๆ) ได้ทำการติดต่อเช่ารถไว้ล่วงหน้าแล้ว 4 คัน พอนั่งรถไฟมาถึงปลายทางก็นั่งสองแถวต่อเข้ามาในเมืองคนละ 10 บาท แล้วก็เดินเท้าไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านเช่าละ ชื่อร้าน “เจ เจ รถเช่า”
Jay Jay
ใครสนใจลองเข้าไปทักได้ที่เพจเค้าเลยจ้า (รูปนี้ก็ไปเอาจากเพจเค้า) พอเดินไปถึงหน้าร้านทุกคนก็สตั้นไป 3 วิเพราะร้านยังไม่เปิด ตอนไปถึงก็ประมาณ 7 โมงแล้วนะ แต่สักพักเจ้าของร้านก็เดินออกมา สภาพเหมือนยังไม่ได้อาบน้ำ แต่เค้าสวยอยู่ 555 (ขอแซวนิดนึงนะ อิอิ) เจ้าของร้านขอเตรียมรถให้อีกสักครู่ระหว่างรอก็ให้ไปทานข้าวรอก่อนก็ได้ ส่วนสัมภาระที่เตรียมมาก็ฝากไว้ในร้านก่อนได้ แล้วเราก็เลยพากันเดินชมเมืองไปทานข้าวแถวๆโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ สั่���กระเพราะหมูไข่ดาว รสชาดใช้ได้เลยทีเดียว ข้างๆร้านข้าวก็มีชาพยอมอยู่ด้วยเลยจัดไปคนละแก้ว แต่ก่อนสั่งข้าวเราก็ใช้ระบบกองกลางคือออกเงินมาคนละ 1,000 แล้วมีค่าใช้จ่ายอะไรก็ใช้จากตรงนี้แหละ พอทานข้าวเสร็จก็เดินกลับมาคุยเรื่องรถกันต่อ
ป๊อปก็ทำหน้าที่เซนเอกสารสัญญาต่างๆ แล้วก็จ่ายค่าเช่าที่ 250บาท/คัน/วัน และมันจำคันละ 1,000 บาท โดยเราได้เช่ารถทั้งหมด 4 คัน ได้ฟีโน่ปีล่าสุด 3 คัน และ TTX 1 คัน ซึ่งผมก็ได้ขับเจ้า TTX นี่แหละเพราะไม่ค่อยได้เห็นมันเท่าไหร่ ขับฟีโน่มาบ่อยแล้ว อยากลองรุ่นอื่นๆบ้าง แต่ฟีโน่ 3 คันนั้น เจ้าของร้านบอกว่าเป็นรถใหม่หมดเลย(ยกเว้น TTX) สังเกตุได้จากท้ายรถไม่มีป้ายทะเบียน เพราะเก็บไว้ใต้เบาะ ยังไม่มีเวลาติดป้ายเลยทีเดียว เอาหละรถพร้อมคนพร้อม เราก็หยิบหมวกกันน็อค แล้วเตรียมข้าวของมัดด้วยสายรัดสำหรับรัดของไว้ที่ท้ายรถแล้วออกเดินทางกันต่อไป
แวะดู Google map ระหว่างทาง
*ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ต้องมีการบันทึกรายจ่ายซึ่งก็ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนนี้ จึงขอแนะนำผู้ที่หลงเข้ามาอ่านให้รู้จัก “บิ๋ม” สาวสวยนักจดมากความสามารถ เธอทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนเงินกองกลางไม่พอก็ขอเพิ่มอีกคนละ 200 บ.ก็ผลงานเธอนี้แหละ 555
สถานีต่อไป “แม่น้ำสองสี” (ตรงไหน)
ก่อนออกเดินทางเราก็ไม่ลืมเสื้อแขนยาว, ปลอกแขน, ครีมกันแดด, แว่นตากันแดด, ถุงมือขับรถ และสายรัดของ เรียกว่าพร้อมสุดๆแระ อากาศกำลังดีเลยทีเดียว ระยะทางจากร้านเช่ารถจนถึงแม่น้ำสองสีก็ประมาณ 82 กิโลเมตร ก็ไม่ไกลเท่าไหร่  ระยะทางประมาณนี้ก็เอาการเหมือนกัน  ที่สำคัญเรามีสมาชิกสำคัญอีกคนนึงที่หัวเราะได้ซะใจที่สุดเค้าคนนี้ชื่อว่าจิ๊บ แต่ทริปนี้คงไม่จิ๊บๆและคงหัวเราะไม่ออกแน่ๆเพราะเค้าต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งๆที่ไม่เคยขับมาก่อน แต่โชคดีที่มีประสบการณ์จากจักรยานมาก่อน และรถก็เป็นเกียร์ออโต้ด้วย เลยเรียนรู้ไม่ยากมาก สรุปว่าทริปนี้จิ๊บอัพเลเวลจาก 0 เป็น 99 เรียบร้อย เก่งมากๆ ระหว่างทางเราก็มีแวะพักบ้างนิดหน่อยเพื่อดูแผนที่ให้แน่ใจและเช็คสมาชิกว่าไหวหรือปล่าว สุดท้ายเราก็ไปถึงปลายทางที่วัดโขงเจียม ���ุดชมแม่น้ำสองสี ที่ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันสองสีตรงไหน ฟร๊ะ!!!” (มันเหลือน้ำไว้ให้ดูก็บุญแล้วแหละ) 555 แต่ก็ไม่เป็นไร คุณค่าของการเดินทางไม่อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่วิวและมิตรภาพระหว่างการเดินทางต่างหาก (หล่อปะละ จำเค้ามาอีกที)
This slideshow requires JavaScript.
เราถ่ายรูปเล่นกันสักพักก็มากราบพระประธานในโบสถ์วัดโขงเจียมเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางทริปนี้กันสักหน่อย
จากนั้นก็แวะไปหาร้านเครื่องดื่มให้สดชื่น ซึ่งตอนขับรถเข้ามาก็ผ่านร้านนี้อยู่แล้ว ขาออกไปเราจึงลองไปแวะร้านที่ชื่อว่า “ONCE UPON A TIME” ร้านนี้มี 2 ชั้น ตกแต่งแบบวิถีชุมชนผสมความโมเดิร์นเข้าไปแบบชิคๆ ไม่รู้ศัพท์อาร์ตๆเค้าจะเรียกว่าอะไร แต่ก็ลงตัวเลยทีเดียว ระหว่างดื่มด่ำไปกับเครื่องดื่มและการหามุมถ่ายรูป บ้างก็เซลฟี่กันตามประสา ก็ได้มีพี่จากไหนไม่รู้เล่นเครื่องดนตรีอยู่บนชั้นสอง ทีแรกก็เป่าแคน สักพักก็เล่นพิณ แล้วยังเล่นโหวตต่ออีก เมพขิงๆ ดีนะไม่มีโปงลาง ตอนที่เราไป ร้านก็กำลังทำ PR กันอยู่ เลยมีคนมีถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ หยิบแก้วมาจัด Position จัดแสง เราก็ขอ PR ช่วยเลอ facebook, wongnai, blog โดยรวมแล้วชอบร้านนี้มากๆ
This slideshow requires JavaScript.
*ถ้าขับรถผ่านจะเห็นป้ายนี้ “Home stay Bike for rent”ชัดเจนกว่า ทีแรกไม่คิดว่าจะเป็นร้านเครื่องดื่ม คิดว่าเป็นห้องพักและเช่าจักรยานเท่านั้นแต่เพื่อนที่มาด้วยตาดี ไม่งั้นคงอดมาชิมเครื่องดื่มที่นี่แน่ๆ
สถานีต่อไป “จุดกางเต๊นท์” ผาแต้ม
ห่างจากแม่น้ำสองสีประมาณ 19 กิโลเมตร ก่อนไปถึงจะมีปั๊มน้ำมันท้องถิ่นอยู่เราก็แวะเติมน้ำมันเฉลี่ยคันละ 100 บาท ขับไปอีกสักพักจะมีร้านซ่อมรถเราก็แวะเติมลม ซึ่งประทับใจพี่เจ้าของร้านมากเค้าไม่คิดเงิน เข้าใจว่าต่างจังหวัดเค้าก็ไม่คิดกันอยู่แล้ว (บ้านผมก็เปิดร้านซ่อมรถก็ไม่คิดเงิน แต่พักหลังๆเริ่มคิดแระ) พอขอบคุณพี่เค้าเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อจนถึงจุดกางเต้นท์ ทางเข้าอุทยานจะมีด่านเก็บเงินอยู่ 20 บ./คน + 40บ./รถมอเตอร์ไซค์ สรุปทั้งทีมเสียไป 280 บาท แล้วเราจะได้บัตรเพื่อยืนยันว่าเราจ่ายแล้วเวลาเราออกไปข้างนอกจะได้ไม่ต้องเสียตังอีกรอบ ก่อนถึงจุดกางเต้นท์ถ้ามองไปซ้ายมือเราจะเห็นเสาเฉลียง แต่เราไม่แวะ 555 ไปหาที่นอนก่อนดีกว่าเพราะนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราเอาเต้นท์มา 2 อัน เลยต้องเช่าเพิ่มอีกอันนึง ซึ่งของที่นี่เค้าคิดราคาที่ 250 บาท นอนสบายๆไม่รวมสัมภาระได้ 3 คน ถ้ามีสัมภาระแบบผม 2 คนก็พอดีๆ ถ้าเอาหมอน ที่รองนอนเพิ่มก็คิดอีกนิดหน่อย เดี๋ยวผมเพิ่มรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ช่วงท้ายๆนะครับ การจ่ายเงินต้องรอตอนเย็นๆจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเต้นท์และอุปกรณ์อื่นๆ ระหว่างนี้เราก็เลือกเต๊นท์และทำเลได้เลย ส่วนห้องน้ำก็เพียงพอและสะอาดพอสมควร (สายรัดของก็สามารถอแดปมาเป็นราวตากผ้าได้ด้วยการรัดเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆ) จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปน้ำตกที่ใกล้ที่นี่ที่สุดคือ “น้ำตกสร้อยสวรรค์” มันต้องสวยเหมือนตกมาจากสวรรค์สินะ พอกลับมาเราจะได้มาเจอเจ้าหน้าที่แล้วเคลีย์ค่าที่พักกัน
*จุดนี้ไม่มีรูปมาฝากเลย อารมณ์ทุกคนคือบัพ “อยากไปเที่ยว” ลืมเรื่องถ่ายรูปกันทุกคน 555
น้ำตกสร้อยสวรรค์ สู้ๆซ่าๆ
ห่างจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 19 กิโลเมตรก็จะถึงน้ำตกสร้อยสวรรค์ บรรยากาศตอนที่ขับรถกำลังดี ใส่แค่เสื้อกันลมก็เพียงพอ พอขับมาถึงก็จะมีด่านและที่จอดรถ ตรงนี้ต้องจอดรถเท่านั้น ขับเลยด่านไม่ได้นะจ๊ะ (ถามมาแล้ว) แล้วก็แสดงบัตรที่ได้จากผาแต้มให้เค้าดูว่าเราจ่ายแล้วนะ จากนั้นเราก็เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร (รวมทางลงที่เป็นหินแล้ว) ระหว่างทางเราก็หลงระเริงกับแนวต้นไผ่เขียวๆตัดกับวิวใบไม้แห้งเทาๆส้มๆ
หมีที่กินไผ่อิ่มแล้ว
เบื้องหลังการถ่ายรูปหมีอีกตัวนึง
หมี 4 ตัวที่แนวทางเดิน (อีกตัวถ่ายรูปอยู่)
ใกล้จะถึงทางลงไปน้ำตกละ
เดินไปสักพักเราจะเห็นทางลงซึ่งเป็นหิน ซึ่งก็เดินไม่ลำบากสักเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็สงสัยว่าไม่เห็นมีเสียงน้ำเลย เกรงว่าคงอยู่ไกล คือไม่อยากเดินไกลเพราะอุทยานปิด 17.00 น. อยากมีเวลาถ่ายรูปนานๆหน่อย แต่ก็เดินสักพักไม่เกิน 7 นาทีก็ถึงแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าช่างซู่ซ่ายิ่งนัก
นั้นแหละครับท่านผู้ชมว่าทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงน้ำตกจากระยะไกล น้ำมันมีแค่นี้จีๆ น้ำตาจีไหล ท่อปะปาที่บ้านแตกยังแรงกว่าอีก 555 ก็อย่างว่า ปลายทางไม่สำคัญ ระหว่างทางเราสนุกกับมันก็พอโน๊ะ มีเวลาถ่ายภาพไม่นานมากแต่ก็พอใจได้ภาพมาเยอะพอสมควร
เบื้องหน้านางแบบผ่าน foreground เป็นดอกหญ้าเบลอๆ
เบื้องหลังมีหญ้าแค่กระจุกนี้แหละ 555
เอาหละถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินขึ้นกลับมาทางเดิม แต่บอกเลยว่าขึ้นมาแล้วแต่ละคนโอดโอยเลยทีเดียว ตอนลงเป็นเด็ก 15 ขวบ ตอนขึ้นกลายเป็น 51 ขวบซะงั้นเลยมานั่งพักถ่ายรูปกันอีกสักหน่อยตรงป้ายน้ำตก
พอถ่ายรูปกลับมีแรง ยิ้มได้ยังกะกินกระทิงแดงมา 10 ขวด
พักถ่ายรูปจนหายเหนื่อยก็เดินกลับออกมา แต่แสงอ่อนๆอุ่นๆยามเย็นกลับสาดส่องไปที่ต้นไผ่เขียวๆอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับสวยกว่าเดิม เลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเก็บภาพมาอีกใบ
This slideshow requires JavaScript.
หลังจากที่หลุดจากต้นไผ่นี้มาได้แล้วก็ขับรถมอเตอร์ไซค์เช่าของเรากลับมาที่จุดกางเต๊นท์ แต่เดี๋ยวๆแสงสวยๆแบบนี้ก็ต้องถ่ายกันอีกสักใบสินะ ผมขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า “มิตรภาพของวินมอเตอร์ไซค์น้ำตกสร้อยสวรรค์” ละกันนะครับ
เอาหละได้เวลากลับจริงๆสักที เราก็ขับกลับมาทางเดิม ดวงอาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้า แสงสีส้มเข้มๆเริ่มมา ภาพที่ได้นี้จึงเป็นฝีมือของ “เก่ง หรือ วิไล” ที่เราเรียกกันจนติดปาก สมาชิกคนสุดท้ายของทริปนี้ บทบาทเด่นของเธอคือการถ่ายรูปในเวลาที่คนอื่นถ่ายไม่ได้อย่างเช่นตอนขับรถ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่นั่งซ้อนท้ายคนอื่นอยู่โดยซ้อนบิ๋มเหรัญญิกของทริปนี้นี่เอง
This slideshow requires JavaScript.
ถ่ายดาวล้านดวง
บรรยากาศสองข้างทางระหว่างการขับรถกลับจุดกลางเต้นท์ดีมากๆ แล้วเราก็ขับมาจนถึงตลาดนัดก่อนถึงด่านเข้าจุดกางเต๊นท์จึงแวะซื้อของตุนไว้ทานก่อนนอน ซึ่งตลาดก็ใกล้จะวายแล้ว นี้มันเวลาประมาณหกโมงเย็นเองนี้น่า สงสัยคนที่นี่เค้านอนเร็ว เราเลยมีเวลาช็อปปิ่งได้ไม่นานก็เดินมาทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆตลาดนัด เสร็จแล้วก็เดินทางเข้าจุดกางเต๊นท์ อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยแล้วสะพายกล้องขับรถเช่าคู่ใจของพวกเรามาที่เสาเฉลียง จุดไคล์แมกซ์ของเรา สถานที่ที่เราไม่แวะตอนช่วงบ่ายที่เพิ่งมาถึง ซึ่งตอนที่มาถ่ายรูปก็มืดมากถึงมากที่สุดชนิดที่ว่าถ้าไม่ส่องไฟฉายใส่เสาเฉลียงก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น เมื่อพร้อมแล้วเราก็กางขาตั้งกล้องปรับรูรับแสง, Speed shutter, ISO ให้เรียบร้อย แล้วเล็งเลนส์กล้องไปที่หมู่ดาวที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดคือ หมู่ดาวนายพราน, สุนัขใหญ่ และสุนัขเล็ก เพราะมันคือหมู่ดาวที่สักเกตุที่ง่ายมากๆ และที่สำคัญใครที่ชอบดูดาวเหมือนผมก็คงนะรู้แล้วแหละว่าต้องได้ภาพ “สามเหลี่ยมฤดูหนาว” มาแน่ๆ แน่นอนครับเราไม่พลาดจัดไปกับรูปแรก
การตั้งค่ากล้องที่เราใช้
Speed shutter: 30 sec F-Stop: 2.8 ISO: 1000
จริงๆลองปรับ ISO ไปได้ถึง 2000 เลยนะ แต่เราขอเลือกรูปนี้ละกัน ระหว่างรอ Speed shutter 30 วิ เราก็เม้ากันไปมาสักพักเริ่มเห็นเครื่องบินพาณิชย์บินผ่านเลยสอยมาอีกหลายๆภาพ
เส้นมุมบนขวานั้นแหละเครื่องบิน
อันนี้มา 2 ลำเลย
อันนี้ออกแนวหลอน เพราะมีคนเดินตัดหน้ากล้อง 555
สองรูปสุดท้ายเราได้เปลี่ยนมุมกล้องมาที่ทิศเหนือเพื่อถ่ายดาวลูกไก่(กระจุดตรงกลางภาพ), ดวงแดงๆเยื้องไปอีกนิดเป็นดาวอัลติบาเรน(Aldebaran)หรือดาวตาวัว อยู่ในกลุ่มดาววัว(Taurus) หนึ่งใน 12 ดาวจักราศี และดาวสีแดงๆเยื้องไปจนเกือบสุดภาพคือดาวบีเทลจุส(Betelgeuse) อยู่ในกลุ่มดาวนายพรานหรือคนไทยจะเรียกดาวกลุ่มนี้กว่าดาวเต่า โดยบีเทลจุสจะอยู่ในตำแหน่งไหล่นายพราน เอาหละเราเรียนดาราศาสตร์กันพอหอมปากหอมคอ และต้องขอบคุณแอพ Star chart ที่ทำให้เราหาตำแหน่งต่างๆได้แม่นยำขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนผมก็ใช้แผนที่ดาวอะแหละ ยอมรับว่าสมัยนี้สบายมากๆมีแอพบนมือถือเลยทีเดียว
และสักพักก็มีอีกกลุ่มมาถ่ายรูปดาวเหมือนกลุ่มเราเลย สังเกตุจากการตั้งขาตั้งกล้อง และคงไม่มีอะไรให้ถ่ายนอกจากดาวเพราะมันมืดมาก คงไม่มาเซลฟี่แถวนี้แน่นอน เมื่อเราอิ่มเอมจากการถ่ายรูปดาวที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมาหลายวัน ก็ถึงเวลาเข้านอนกันแล้ว ราตรีสวัสทุกคนครับ
สำผัสแสงแรกก่อนใคร(ในไทย)ที่ “ผาแต้ม”
จริงๆแล้วก่อนนอนเราก็มานั่งกินลูกชิ้นที่ซื้อมาจากตลาดนัดกันก่อน อากาศในเต๊นท์เมื่อคืนนี้ก็ดีมากๆ นอนในถุงนอน+ใส่เสื้อกันหนาวอีกชั้นนึง ส่วนอุณหภูมินอกเต๊นท์ต่ำสุดประมาณ 16 องศาเซลเซียส เราเลยตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่อย่างสดชื่นในตอนเช้าของวันที่ 29 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่จะเดินทางกลับกัน เรานัดกันตื่นนอนที่เวลา 05.30 น. เพราะเมื่อคืนเราเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้วว่าจะขึ้นที่เวลาประมาณ 06.30 น. หลังจากล้างหน้าแปรงฟันอะไรเรียบร้อย เราก็รีบขับรถไปผาแต้มทันที คนไม่มากไม่น้อย บางคนอยู่ในสภาพมีผ้าห่มพันรอบตัว อารมณ์แบบว่า “ชั้นมานอนรอพี่ที่ผาแต้มทุกวันเรยนะ” ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นเราก็ตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปเพื่อนๆไปเรื่อยๆ และตั้ง iPhone ในโหมด Time lapse เล็งไปที่จุดที่พระอาทิตย์จะขึ้น เพื่อความชัวร์ผมก็ใช้แอพ Start chart เช็คตำแหน่งอีกที ละนี้คือเทคโนโลยีล่าสุดของขาตั้งกล้อง iPhone ของทีมเรา(โปรดสังเกตุที่ขวามือของรูปข้างล่าง)
สีขาตั้งกล้องเข้ากับสีเสื้อของนางแบบเลยทีเดียว
บรรยากาศโดยรอบ
เลยแม่น้ำโขงนี้ไปก็ประเทศลาวแล้ว
“บรรยากาศแบบ 360 องศา”
เมื่อชาร์จพลังงานรับแสงแรกจากดวงอาทิตย์เสร็จแล้วเราก็เดินทางไปตามหาภาพเขียนสีทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำกันสักคน ก็หาทางลงกันอยู่นานสองนานสุดท้ายก็เจอป้ายนำทาง ให้เราเดินไปตามป้ายไปเรื่อยๆสักพักก็จะเจอภาพเขียนสีซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 จุด และทางที่เราเดินไปจะเป็นลักษณะวนกลับมาที่จุดชมพระอาทิตย์ระยะทางรวมระยะทางประมาณ 3.8 กิโลเมตร ถ้าไม่แกร่งหรือมีเวลาน้อย แนะนำให้เดินกลับไปทางเดิมจะดีกว่า เพราะกว่าทีมผมจะเดินทางมาถึงปลายทางก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันไปแทบทุกคน ยกเว้นผมยังไหวอยู่ ฮาๆ ได้ภาพมาฝากประมาณนี้จ้าา
ทางลงไปชมภาพเขียนสี
ภาพเขียนสี
มีแผ่นหินอ่อนสลักสัญลักษณ์ว่าสมเด็จพระเทพฯท่านเคยมาที่นี่
พักเหนื่อยระหว่างทาง
หน้าผาที่เป็นจุดถ่ายภาพยนต์เรื่องอเล็กซานเดอร์มหาราช
ใกล้ถึงแล้ว ลองมองไปกลางๆภาพจะเห็นถนนที่เราขับรถขึ้นมา ซึ่งคดเคี้ยวสวยมาก
ถึงปลายทางแล้ว
มองผ่านเลนส์
เสร็จจากการเดินรอบผาแต้ม เราก็พักเติมพลังที่ร้านเครื่องดื่มใกล้ๆกันสักครู่แล้วออกเดินทางมาที่จุดกางเต๊นท์กันต่อเพื่ออาบน้ำ, เก็บเต๊นท์และเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางไปสถานที่ต่อไป ซึ่งเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนต้องไปทานข้าวเช้ากับข้าวเที่ยงพร้อมกันที่สถานที่ต่อไป
พักทานอาหารที่ “เขื่อนสิรินธร”
ก่อนถึงเขื่อนสิริธรเราก็แวะถ่ายรูปอีกใบที่สะพานข้ามแม่น้ำมูล(ไม่มีชื่อสะพาน) วิวดีแต่ร้อนไปนิด ส่วนผมก็ทำหน้าที่นำขบวนยาวไปเรื่อยๆ โดยมีบางจังหวะที่ป๊อปก็มาสลับบ้าง
ขับรถมาถึงเขื่อนสิรินธรก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงพอดี ที่นั้นมีศูนย์อาหารอยู่ให้เราไปนั่งที่โต๊ะได้เลยสักครู่จะมีพนักงานมาจดรายการอาหาร(ทีแรกนึกว่าเป็นร้านแบบข้าวราดแกง) อาหารที่นี่ก็อร่อยใช้ได้เลย ภาพข้างล่างนี้เร่งสีผ่านแอพ Snapseed
เมื่ออิ่มแล้วก็ไปเก็บภาพที่สันเขื่อนต่อ ซึ่งห้ามขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาเน้อ เราเลยต้องเดินเท้าเข้ามากัน แต่ก็ถ่ายได้ไม่นานเพราะแดดแรงมากกกก ก.ไก่ล้านตัว
แก่งสะพือ กับน้ำที่หายไป
หลังจากถ่ายรูปที่สันเขื่อนสิริธรอันร้อนแรงจากแดดที่แผดเผาเสร็จแล้ว เราก็ขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อนำรถไปส่งคืนที่ร้านเช่ารถ แต่เราก็คิดว่าอยากหาที่เที่ยวอีกสักที่ที่อยู่ระหว่างทางกลับ เราเลยเปิด Google map และแผนที่ท่องเที่ยวที่หยิบติดมือมาจากร้าน One upon a time ได้ลงมติกันอย่างเป็นประชาธิปไตยว่า จะไปแก่งสะพือ เราขับรถกันสักพักด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่าๆเดิมคือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยผมยังเป็นผู้นำขบวนอยู่ บรรยากาศการขับรถครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆเพราะเป็นช่วงเย็นและต้องขับต้านทานกับแสงแดดที่ส่องมาตรงหน้าของเรา เพราะเรากำลังขับมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตก แม้เราจะใส่แว่นกันแดดก็ช่วยลดแสงได้ดีมาก แต่ไม่สามารถลดทอนความง่วงไปได้เลย เพราะเราขับทางไกล แบบนิ่งๆเรื่อยๆ ผมจึงต้องคิดค้นวิธีแก้ง่วงในแบบฉบับของตัวเองคือ ส่งรอยยิ้มค้างไว้ไปตลอดทาง เรียกได้ว่าเป็น “แป๊ะยิ้ม” เลย นาทีนั้นไม่คิดว่าต้องอายใครเพราะคนที่ขับรถผ่านก็คงเจอเราแค่ครั้งเดียวและไม่มีทางจำเราได้หรอก 555 (กลัวหลับในมากกว่า) แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนที่ขับรถตามหลังมาเค้ามองมาที่กระจกส่องหลังของรถเรา พอจอดรถมันก็มาถามว่า “เป็นไรหรอยิ้มตลอดทางเลย” เราเลยขำๆแล้วตอบกลับไปว่าแก้ง่วงๆ ใครจะเอาไปทำตามก็ได้นะครับ ไม่จดลิขสิทธิ์ อิอิ
เอาหละสุดท้ายก็ขับรถมาถึงแก่งสะพือแบบปลอดภัยไร้ความบาดเจ็บ แต่ก็มาเจอเรื่องเซอร์ไพร์สที่ทุกคนต้องร้อง ว้าว โอ้ว Goddddd ก็คือ เราดูไม่ออกว่านี้มันคือแก่งสะพือ ลองดูรูปในเว็บกันก่อน
paiduaykan.com
www.touronthai.com
static1-velaeasy.readyplanet.com
แล้วมาดูสิ่งที่เราเจอบ้าง
ดูสิครับท่านผู้ช๊ม ไม่เหลือความเป็นแก่งเบย เราน่าจะมาผิดช่วงอะนะ แต่ก็นะ สไตล์การเที่ยวของเราไม่เครียดกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนเราได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากกว่า 555 (ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไร) เราเลยถือโอกาสเดินสำรวจพื้นที่เหมือนลงสำรวจพื้นที่ประสบภัยความแห้งแล้งโดยท่านนายกอบต.ป๊อปและคณะทีมงาน
เมื่อเราสำรวจความแห้งแล้งเรียบร้อยแล้วเราก็ Relax กันต่อ
น่าเสียดายที่วิไลหมดสภาพไปแล้ว ไม่สามารถมาร่วมคณะสำรวจของเราได้ เลยนั่งพักอยู่ในร่มไปก่อน เอาหละ ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งตรงสู่ร้านเช่ารถโดยผมก็ยังนำขบวนอยู่เหมือนเดิม ด้วยความที่เข้าเขตชุมชนแล้วความซับซ้อนจะมากขึ้นผมจึงนำทางผิดซะงั้น เลยให้ป๊อปนำทางไปเลย ฮาๆ แต่ก่อนจะถึงร้านเช่ารถเราก็ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน เพราะตอนที่เราขับออกมาจากร้านเช่ารภ เจ้าของร้านได้เติมน้ำมันให้เต็มถังทุกคันแล้ว ตอนจะส่งรถคืนร้านก็ต้องเติมให้เต็มเช่นกันจ้าา (หรือพูดง่ายๆว่าออกค่าน้ำมันกันเองเน้อ)
พอเติมน้ำมันในปั๊มที่ตัวเมืองเสร็จเราก็แวะพักดื่มอะไรเย็นๆกันก่อนที่ร้านอเมซอนกันสักพัก แล้วแวะร้านของฝากสักหน่อย ซึ่งเราก็แวะร้านหมูยอ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว เสร็จแล้วเราก็คืนรถเสร็จสรรพรับมัดจำคืน แล้วเดินไปโบก Taxi เพื่อไปที่สถานีรถไฟซึ่งเราได้ทิ้งวิไลพร้อมกับสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้ว วิไลเลยทำหน้าที่เฝ้าสัมภาระที่สถานีรถไฟไปด้วย เราคืนรถเสร็จเวลาประมาณหกโมงเย็นซึ่งทำเวลาดีมาก เพราะรถไฟขากลับล้อหมุนตอน 19.00 น. ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจ้าา
ลาแล้วอุบลราชธานีที่รัก
ไม่รู้จะตั้งหัวข้อว่ายังไงดี เลยจัดแบบนิยายรักยุคคุณพ่อไปก่อน ขากลับนี้เราได้ถือโอกาสลองไปใช้ตู้เสบียงกันดูบ้าง เพราะตอนขามาอุบลเรานอนเป็นหลัก ขากลับเรายังพอมีเวลาปาร์ตี้มาม่ากันสักหน่อย บวกกับเราต้องเคลียร์อาหารให้แบกกลับไปน้อยที่สุดเพราะยังมีขนมก๊อปแก๊บ, ปลากระป๋อง, องุ่น, ฯลฯ ที่ยังทานกันไม่หมด รวมถึงหนมเนืองที่ซื้อจากร้านของฝากขึ้นมาทานกัน ซึ่งการกินแหนมเนืองแบบปกติบ้านๆเราต้องมีมีดเอาไว้หั่นมะม่วง, พริก, แหนมเนือง(ที่เป็นหมูแท่งๆ), ฯลฯ แต่เราไม่ได้หยิบมีดมาจากตู้ที่เรานอน เลยต้องงัดวิชาลูกเสือสำรองขึ้นมาด้วยการใช้ฝาปิดปลากระป๋องอันแหลมคมมาหั่นสิ่งต่างๆแทนมีด และยังมีอีกอย่างที่เป็นปัญหาคือที่่รองน้ำใส่แผ่นแป้ง อันนี้เราก็เอาแผ่นพลาสติกจากถุงแหนมเนืองมาปิดถ้วยมาม่าคัพที่ทานหมดแล้วรัดด้วยหนังยาง จากนั้นก็กดพลาสติกลงให้เกิดความนูนพอที่จะใส่น้ำได้ (ทำไมมันต้องลำบากขนาดนี้ ฮาๆ) ต้องขอบคุณนวัตกรรมใบมีดยีลเลทตราสามแม่ครัวจากท่านอบต.ป๊อป และพลาสติกรองน้ำใส่แป้งจากเหรัญญิกบิ๋มด้วยจ้า ที่ทำให้เราได้กินแหนมเนืองเวอร์ชันย้อนยุคกัน ระหว่างทานไปก็เพิ่งนึกได้ว่าเค้ามีบริการ WiFi ฟรีด้วยนะเออ ความเร็วใช้ได้เลอออ
มาม่าคัพราคา 25 บาทนะเตง
มานั่งรอตั้งแต่รถไฟยังไม่ออก คนเลยไม่ค่อยมี
สรุป
การเดินทางของเราก็คงต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้ ทุกอย่างในทริปนี้อาจไม่ได้หวือหวามากมาย รูปที่ลงเราก็ไม่ได้แต่งเลย (มีบางรูปที่ไม่ไหวจริงๆ เราก็ใช้ Snapseed ช่วยสักหน่อย) แต่ประสบการณ์ที่เราได้รับมีค่ามากๆที่เราได้ร่วมเดินทางไปกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หวังว่าการเดินทางของเราจะจุดประกายให้หลายๆคนอยากออกไปผจญโลกภายนอกกันบ้าง เพราะนอกจากเราได้ไปถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้ว ระหว่างทางมันจะมีจุดเล็กๆให้เราได้สัมผัสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม บรรยากาศ ฯลฯ ที่ไม่เหมือนที่ที่เราเคยอยู่ และเพราะเราเลือกใช้การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ที่อาจจะดูเสี่ยงถ้าเจอเพื่อนร่วมถนนที่ไม่ดี แต่มันก็ทำให้เราได้สัมผัสสายลม แสงแดด หยดน้ำได้เต็มที่ อยากไปช้าไปเร็วเราควบคุมได้  สำหรับผมแล้วมันสุดยอดมากๆ บวกกับการเดินทางด้วยรถไฟอีสานวัตนาหรือรถไฟขบวนใหม่นี้ผมให้คะแนนเต็มไปเลยทั้งเรื่องตรงเวลา ความสะอาด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่หักนิดหน่อยก็เรื่องการบริการ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนอะโน๊ะ บางคนก็บริการดีมาก บางคนก็ดีน้อย แต่ระดับนี้ผมก็โอเคนะทนไหว ฮาๆ ถ้าได้นั่งชั้น 1 คงจะฟินกว่านี้ (แต่ไม่มีตังแว้ว)
ใครที่อยากออกจาก Comfort zone ลองมาออกเดินทางในแบบของเราได้นะครับ ปกติแล้วเพื่อนกลุ่มนี้ชอบเที่ยวกันอยู่แล้ว ถ้าผมได้ไปด้วยจะกลับมาเล่าให้ฟังให้อ่านกันอีกนะครับ แล้วเราค่อยมาเจอกันใหม่ในทริปหน้า ขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านกันจนจบครับ
Let’s travel the world together.
สรุปค่าใช้จ่าย
Version PDF คลิกที่นี่จ้า
  ใครชอบสามารถกด Like fanpage: Oatrice เป็นกำลังใจให้ได้เลยนะครับ จะได้มาเขียนบ่อยๆครับ อิอิ
  ลิงค์อ้างอิง
1. ชื่อรถไฟพระราชทาน 2. ข้อมูลรถโดยสารรุ่นใหม่ (Update)
[Travel] 5 คน 4 คัน 2 วัน ทริปอีสานวัตนา จนขับมอเตอร์ไซค์ไปผาแต้ม (ถ่ายดาวล้านดวง) ลองเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความแนวท่องเที่ยวกันบ้าง สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขียนเรื่องราวแบบนี้ เป็นทริปที่ไม่ได้ขายความถูก ไม่ได้ขายความหรู และไม่ได้ขายของใดๆ เพราะไม่มีสปอนเซอร์เลยจ้า มีแต่ตังตัวเองล้วนๆ ดังนั้นจะเป็นการเล่าที่ตรงไปตรงมาชอบก็ชม ไม่ชอบก็ขอบ่นนิดนุง(ไม่ดราม่า) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปแรกที่ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดินทางจนถึงก้าวสุดท้ายที่ต้องเดินเข้าประตูบ้าน เอาละคงอยากอ่านกันแล้วใช่มั้ยล้า งั้นขอเชิญทุกท่านเดินทางไปกับเราโดยรถไฟขบวนอีสานวัตนากันเลย ฉึกกะฉักๆ ปู้นๆ
0 notes
katnanana · 7 years
Video
แทรินน่ารักมากกเป็นเด็กที่รักน้อง.. อดทนกับน้อง...พูดเพราะ...เรียบร้อย...ใส่ใจคนอื่นด้วย... น้องน่ารักไม่แพ้ก้อนเลย.. #RepostSave @rickykimkorea with @repostsaveapp · · · Some fans will get this lucky one^^ she wanted to help me #taetaeinthailand #taetaefamily #taetaekids #love #kisses #goodmorning
0 notes