Tumgik
#เขื่อนสิรินธร
ubontt · 2 years
Text
🔥ดูคลิปเดียวรู้เรื่อง 25 อำเภอของจังหวัดอุบลราชธานี
✅ จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ถาคตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจาก กทม. 620 กม. การเดินทางใช้ ถนนหมายเลข 24 หรือ 226 ใช้เวลาเดินทางราว 8-9 ชั่วโมงทางรถยนต์
✅ การเดินทางโดยเครื่องบิน จังหวัดอุบลราชธานีมีสนามบินนานาชาติ มีเที่ยวบินภายในประเทศหลายเที่ยวบิน ใช้เวลาเดินทางจาก กทม. มาอุบลราชธานีเพียง 1 ชั่วโมง
✅ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ สามพันโบก ผาแต้ม แม่น้ำสองสี น้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกห้วยหลวง วัดเรืองแสง ด่านช่องเม็ก เขื่อนสิรินธร แก่งสะพือ และวัดสำคัญๆมากมายในตัวเมืองอุบลราชธานี
✅ เทศกาลทางวัฒนธรรมประจำปี ได้แก่ งานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานี ถือได้ว่าเป็นเจ้าตำหรับแห่งการแกะสลักต้นเทียน และงานแห่เทียนเข้าพรรษา
✅ บริษัทรถเช่า ผู้ให้บริการรถเช่า รถตู้ให้เช่าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อุบลทีที รถตู้ให้เช่า ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินอุบล มีรถตู้vip หลายคัน รถใหม่ สะอาด คนขับสุภาพ ชำนาญเส้นทาง บริการนำเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานี และนำเที่ยวลาวใต้ ค่าบริการราคาประหยัดเพียง 1,800 บาท ต่อวัน พร้อมคนขับรถ
👉สามารถติดต่อเช่ารถตู้อุบลทีที โทร 0837448440 line ubontt
👉 สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีได้ที่ www.ubontt.net facebook.com/ubontt
#เที่ยวอุบล #รถเช่าอุบล #รถตู้เช่าอุบล #เช่ารถตู้พร้อมคนขับ #รถตู้vip #รถตู้สนาบิน
0 notes
danontour · 4 years
Photo
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
🏖️ 🏝️ Beach in Sirindhorn Dam 🌊 
10 notes · View notes
bombayboytoy · 4 years
Photo
Tumblr media
#เขื่อนสิรินธร #สิรินธร #อุบลราชธานี #ไทย #ประเทศไทย #SirindhornDam #Sirindhorn #UbonRatchathani #th #thai #thailand #iphone #iphonese #iphonese2016 https://www.instagram.com/p/CDiFnflHNFC/?igshid=t6ht7310jil4
0 notes
oat-anirut · 7 years
Text
ลองเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความแนวท่องเที่ยวกันบ้าง สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขียนเรื่องราวแบบนี้ เป็นทริปที่ไม่ได้ขายความถูก ไม่ได้ขายความหรู และไม่ได้ขายของใดๆ เพราะไม่มีสปอนเซอร์เลยจ้า มีแต่ตังตัวเองล้วนๆ ดังนั้นจะเป็นการเล่าที่ตรงไปตรงมาชอบก็ชม ไม่ชอบก็ขอบ่นนิดนุง(ไม่ดราม่า) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปแรกที่ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดินทางจนถึงก้าวสุดท้ายที่ต้องเดินเข้าประตูบ้าน เอาละคงอยากอ่านกันแล้วใช่มั้ยล้า งั้นขอเชิญทุกท่านเดินทางไปกับเราโดยรถไฟขบวนอีสานวัตนากันเลย ฉึกกะฉักๆ ปู้นๆ
ใครที่มีเวลาน้อยต้องการอ่านเวอร์ชันย่อให้ไปอ่านใน Pantip ส่วนใครที่พอมีเวลาว่างต้องการอ่านเวอร์ชันจัดเต็มอ่านต่อเลยจ้าาา
จุดเริ่มต้น
สวัสดีครับผมชื่อข้าวโอ๊ตนะครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าที่ผมประทับใจทริปนี้เพราะเป็นทริปที่ได้ไปกับเพื่อนๆ ซึ่งก็นานมาแล้วที่ไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อนๆจริงๆจังสักที มาครั้งนี้ก็เจอทริปนอนเต้นท์กันเลยทีเดียว ก็แอบหวั่นๆอยู่ว่าจะไหวมั้ย ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็ชอบนอนเต้นท์นะ แต่ก็อย่างว่า นี้มันนานแล้วที่ไม่ได้ออกทริปแบบลุยๆกัน บอกตามตรงว่าประหม่าไปนิดนุง ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์ตอนที่เพื่อนๆชวนไปทริปนี้ตอนที่ไปนั่งทานพิซซ่ากันที่ Central world ช่วงธันวาคม 2016
แต่พอเพื่อนพูดมาคำนึงว่า “ไปรถไฟขบวนใหม่กัน” เท่านั้นแหละ วู่วามเลยทีเดียว พิซซงพิซซ่าในมือก็ลืมหมด ตอบ “ตกลง” ไปทันที จริงๆแล้วผมก็รู้ตัวเองมานานแล้วแหละว่าเป็นคนแพ้รถไฟ ไม่ใช่เมารถไฟนะ แต่ชอบนั่งมากๆ เมื่อก่อนชอบทุกชั้น แต่ตอนนี้เริ่มแก่แล้วขอแบนชั้น3 กับคนขายของบนรถที่เราต้องเอี้ยวตัวหลบไปก่อนเน้อ ซึ่งเราก็เข้าใจอาชีพเค้านะ แต่เราก็สุขภาพเราก็ไม่ไหวเท่าตอนเด็กๆแล้ว ตอนนั้นแค่ชะเง้อไปนอกหน้าต่างให้ลมตีหน้าอะไรๆก็สนุกไปหมด ส่วนตอนนี้แค่ฝุ่นปลิวมาโดนหน้าก็หงุดหงิดแล้ว ดังนั้นรถไฟขบวนใหม่จึงเป็นสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยโอกาสนี้มานานมาก จะไม่คว้ามันไว้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปอะโน๊ะ (ในพันทิปผมได้เขียนไว้ว่าทำไมผมถึงชอบรถไฟตามไปอ่านกันได้นาจา?)
อีสานวัตนา
ไม่ได้เขียนผิดจาก “วัฒนา” แต่อย่างใด ชื่อนี้มีที่มาที่ไป มาถึงตรงนี้หลายๆคนที่ไม่ได้ตามข่าวก็อาจจะงงๆว่ามันคืออะไร จริงๆแล้วมันคือชื่อขบวนรถไฟขบวนใหม่ครับ ตามข้อมูลจากเพจ ทีมนั่งรถไฟ กับนายแฮมมึน (ผมเป็นแฟนคลับนายแฮมมึน ข้อมูลเรื่องรถไฟแน่นมากๆ รู้ยันหัวน๊อตรถไฟ) ขอ Copy แปะเอาดื้อๆเลยจ้า
อีสานวัตนา เกิดจากคำว่า อีสาน แปลว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กับคำว่า วัตนา (วตตน) แปลว่า “ความเป็นอยู่”
อีสานวัตนา แปลว่า “ความเป็นอยู่แห่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ”
สำหรับภาษาอังกฤษ (ผมยังไม่เห็นนะครับ) คาดว่าจะสะกดว่า “Isanvatana”
Credit by: นายแฮมมึน
ซึ่งก็เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่านได้พระราชทานชื่อรถไฟทุกสายเลยดังนี้
1. เส้นทางสายเหนือ (กรุงเทพ-เชียงใหม่) พระราชทานชื่อว่า “อุตราวิถี”  หมายถึงเส้นทางสู่ภาคเหนือ 2. เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพ-อุบลราชธานี) พระราชทานชื่อว่า “อีสานวัฒนา” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3.เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพ – หนองคาย) พระราชทานชื่อว่า “อีสานมรรคา” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4.เส้นทางสายใต้ (กรุงเทพ-หาดใหญ่) พระราชทานชื่อว่า “ทักษิณารัถย์” หมายถึงเส้นทางสู่ภาคใต้
ข้อมูลรายละเอียดอื่นๆขอแปะเป็นลิงค์ไว้ข้างล่างละกันนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป
สรุปสถานที่สำคัญที่เราไป(บางที่ปรับตามสถานการณ์)
1. น้ำตกสร้อยสวรรค์ 2. ผาแต้ม 3. เสาเฉลียง 4. เขื่อนสิรินธร 5. แก่นสะพือ
*แต่ถ้าอ่านตามจะพบว่ามีอีกหลายที่เลยที่อยู่ระหว่างทางที่เราไปกัน ตามมาอ่านกันได้เลยจ้า
เกือบตกรถไฟ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นเดือนมกราคมเพื่อนเราก็เริ่มจองตั๋ว ได้ฤกษ์งามยามดีในการเดินทางทริปนี้คือ 27-29 มกราคม ซึ่งต้องเดินทางวันที่ 27 รถออกจากหัวลำโพงตอน 20.30 น. แต่วันเดินทางจริงโชคก็ไม่เข้าข้างเอาซะเลย เพราะงานไม่เสร็จจ้า 19.00น. ยังนั่งทำงานอยู่ที่ปทุมธานีอยู่เลย กระเป๋าก็ไม่ทันได้เตรียม เลยต้องงัดแผนสำรองออกมาใช้ คือ จะไปขึ้นที่สถานีรังสิตซึ่งเดินทางโดย Taxi  30 นาทีก็ถึงแล้ว ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่ารถจอดที่รังสิตมั้ยเลยไปค้นในเพจนายแฮมมึนเพราะเคยเห็นอยู่หลัดๆ แต่ด้วยความลนลานเลยหาไม่เจอซะงั้น จึงโทรไปถาม Call center 1690 ได้คำตอบมาว่าอีสานวัตนาจะผ่านรังสิตผ่านตอน 21.21 น. (เวลาสวยมาก) ซึ่งประทับใจ Call center คนนี้มากคุยดี พูดเพราะ พอปั่นงานเสร็จ ก็ไปจัดกระเป๋าด้วยความเร็วแสง+Fast8 แล้วก็บึ่ง Taxi ไปเลยจ้าสนนราคาไป 107 บาท ยังเหลือเวลาให้นั่งรอรถอีกประมาณ 30 นาที เรียกได้ว่าทำเวลาดีมากแต่ก็ตื่นเต้นสุดๆ เพราะถ้าตกรถที่เล่ามาจากข้างบนก็ฝันสลายในพริบตา และคงไม่มีบทความนี้แน่นอน 555 แล้วก็มึนสุดๆด้วย ขนาดที่ว่าลืมไปเลยว่าการดูเลขตู้จากนอกตัวรถมันดูยังไง ซึ่งเค้าก็มีจอ LED ติดอยู่แต่ด้วยความมึนก็มองไม่เห็นซะงั้น แต่ยังดีที่พนักงานบริการบนรถถามเราและชี้ทางบอกให้เดินไปทางหัวขบวน ไม่งั้นก็คงมึนอีกนาน จนสุดท้ายก็เจอเพื่อนๆที่เค้าขึ้นมาตั้งแต่หัวลำโพง สรุปทริปนี้เราไปกัน 5 คน เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยกันหมดเลยจ้าาา
ช่องสี่เหลี่ยมนั้นคือจอ LED ที่มีข้อมูลเลขตู้ และสถานีต้นทางปลายทาง รูปจาก: ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
This slideshow requires JavaScript.
รูปนี้ถ่ายตอนเช้าเพราะใกล้ถึงอุบลฯแล้ว (หารูปที่ถ่ายตอนขาไปไม่เจอจีๆ) สำหรับการเดินทางบนรถไฟขบวนนี้ตั้งแต่ขึ้นมาจนลงรถโดยภาพรวมก็โอเคหมดนะ Facility ที่มีให้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กไฟ, กล้องวงจรปิด, ประตูไฟฟ้า, ห้องน้ำ มีไฟสัญญานบอกว่าว่างหรือปล่าว บอกตั้งแต่ในจอที่อยู่ในตู้ที่เรานอน ดังนั้นเราไม่ต้องเดินมาเช็คหรือมาเคาะที่ประตูห้องน้ำเลย เพียงแค่ส่องจากที่นั่ง/นอนออกมาที่จอก็รู้ได้เลย, ที่ล้างจาน เอ๊ย ล้างมือ ก็สะอาดล้างได้สบายใจ แล้วก็มีห้องอาบน้ำด้วยแต่อยู่ในโซนของชั้น 1 นะ ขาไปเราต้องเดินไปทางท้ายขบวน ขากลับเราต้องเดินไปทางหัวขบวน ซึ่งห้องอาบน้ำเล็กมาก อันนี้เข้าใจอยู่ว่าพื้นที่จำกัด แต่ก็ครบครันไปด้วยเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่เหลว แชมพู ที่แขวนผ้า (อภัยให้) ดังนั้นถ้าใครไม่ได้พกมาก็ไม่ต้องห่วงจ้า แต่ระวังการอาบน้ำของเราให้ดี ต้องสุขุมและใช้วิชาตัวเบานิดนุง เพราะถ้าอาบแบบปกติแบบที่บ้านน้ำจะกระเด็นแบบ 360 องศา เสื้อผ้าที่แขวนไว้เปียกไม่เหลือให้ใส่แน่นอนจ้าา ขาไปเราไม่ได้อาบบนรถไฟเพราะอาบมาจากบ้านแล้ว(ขนาดมาเกือบไม่ทันก็ยังมีเวลาอาบน้ำอีกนะ) ได้มาลองอาบตอนขากลับ
เครื่องทำน้ำอุ่น ของจริงสวยกว่านี้นะ
มือถือหาย
ตอนนอนเราได้นอนชั้นบนซึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากกับชั้นล่าง แค่ความสูงมีให้น้อยกว่า(ใครตัวสูงแบบผมก็จะลำบากกว่านิดหน่อย) และไม่มีที่วางของเหมือนชั้นล่าง ราคาจึงต่างกัน แต่ไม่ได้ concern สักเท่าไหร่ เราอยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ก่อนนอนเราก็ไม่ลืมที่จะทดลองใช้ปลั๊ก 220v ชาร์จโทรศัพท์ไว้แล้วก็เล่นไปเพลินๆ(นิสัยไม่ดี ตูมตามมางานงอกอีก) รู้ตัวอีกทีก็ถึงศรีสะเกษแล้ว ก็เช็คโทรศัพท์ก่อนเลย แต่บระเจ้า!!! โทรศัพท์หายจ้าาา เลยนั่งระลึกชาติก่อนเลยว่าเราเอาไปไว้ที่ไหนหรือปล่าว ตื่นมากลางดึกแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าหรือปล่าว ก็ไม่นะ เลยชัวร์แล้วว่าตัวเองหลับคาโทรศัพท์ดังนั้นคงหาตำแหน่งโทรศัพท์ไม่ได้แน่ๆ แต่มันควรจะอยู่แถวๆนี้สิ นี่สินะที่ว่าไม่ควรเล่นโทรศัพท์เวลาจะนอน แสดงว่าเราคงเพลียจากงาน+ตื่นเต้นกลัวไม่ทันรถจนหลับไปกับโทรศัพท์แน่เลย ไม่รู้โทรศัพท์หล่นใส่หน้าหรือปล่าว ก็วุ่นอยู่ในที่นอนประมาณ 10 นาทีก็ไม่ได้อะไร
เลยแง้มม่านออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น(รักษาฟอร์มนิดนึง) ก็เจอพนักงานนั่งอยู่ที่ห้องพักของเค้า ซึ่งจะอยู่ที่หัวของตู้โดยสาร ห้องพักของเค้าจะเป็นแบบนั่งเท่านั้นคงออกแบบมาไม่ให้นอนจะได้ดูแลผู้เดินทางได้ตลอดเวลา แต่ก็มีช่องให้อ่านหนังสือหรือวางแขนได้สบายๆอยู่ น้องเจ้าหน้าที่ก็หันมาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีอะไรหรือครับ” ผมก็รักษาท่าทีต่อไปแล้วค่อยเอ่ยปากอันง่วงๆว่า “โทรศัพท์…” คำท้ายๆพูดไม่รู้เรื่องละมันง่วงอยู่ 555 แต่น้องเค้าก็เข้าใจได้ด้วยสัญชาตญาณนักแก้ปริศนารายการเวทีทอง น้องเค้าก็หันไปในห้องทำงานแล้วกลับออกมากับของที่อยู่ในมือสีดำๆคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเคสโทรศัพท์ของเรา และแล้วมันก็…“ใช่เลย” พระเจ้าช่วย กล้วยป้าแช่ม นั้นมันน้อง LG Nexus5 ในตำนานของเรา ตัดมาที่น้องพนักงาน เค้าก็อธิบายว่ามีผู้โดยสารเค้าเดินมาเข้าห้องน้ำแล้วเก็บได้ที่พื้นบริเว��ที่คุณนอนนี้แหละ โอ้ว เรานี้โล่งอกแล้วก็ขอบคุณน้องพนักงานและเดินไปขอบคุณพี่ที่เก็บได้ แสดงว่ายังมีบุญอยู่บ้างนะเรา ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตว่าไม่ควรเล่นมือมือก่อนนอนบนรถนอนจ้า 555 จากนั้นก็นั่งรอไม่นานก็ถึงปลายทางของเรา สถานีอุบลราชธานี
ถึงแล้วจ้าสถานีอุบลราชธานี
เดินทางให้มันส์สุดใจ มอเตอร์ไซค์(เช่า)ต้องมี
เล่ามาถึงตอนนี้ก็ขอแนะนำตัว “ป๊อป” เพื่อนผู้เป็นกำลังหลักในการติดต่อร้านเช่ามอเตอร์ไซค์, นำทาง และแบกของในทริปนี้ ถ้าขาดป๊อปไปคงลำบากกันน่าดู ส่วนผม “ข้าวโอ๊ต” ก็เป็นลูกทริปเดินตามคนอื่นๆไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แระ!!! บทผมน่าจะมีมากกว่านี้สินะ ป๊อปก็ให้ผมนำทางในเส้นทางไกลๆ ไม่ซับซ้อน ส่วนมากจะอยู่นอกเมืองและถ่ายภาพเบื้องหลังในมุมที่เค้าไม่ถ่ายกัน ฮาๆ ส่วนคนอื่นๆผมจะแนะนำเมื่อถึงบทของเค้านะครับ อิอิ
ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ป๊อปทำการบ้านมาดี(แน่นอน หมอนี้มันคือมันสมองของกลุ่มนี่นา ฮาๆ) ได้ทำการติดต่อเช่ารถไว้ล่วงหน้าแล้ว 4 คัน พอนั่งรถไฟมาถึงปลายทางก็นั่งสองแถวต่อเข้ามาในเมืองคนละ 10 บาท แล้วก็เดินเท้าไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านเช่าละ ชื่อร้าน “เจ เจ รถเช่า”
Jay Jay
ใครสนใจลองเข้าไปทักได้ที่เพจเค้าเลยจ้า (รูปนี้ก็ไปเอาจากเพจเค้า) พอเดินไปถึงหน้าร้านทุกคนก็สตั้นไป 3 วิเพราะร้านยังไม่เปิด ตอนไปถึงก็ประมาณ 7 โมงแล้วนะ แต่สักพักเจ้าของร้านก็เดินออกมา สภาพเหมือนยังไม่ได้อาบน้ำ แต่เค้าสวยอยู่ 555 (ขอแซวนิดนึงนะ อิอิ) เจ้าของร้านขอเตรียมรถให้อีกสักครู่ระหว่างรอก็ให้ไปทานข้าวรอก่อนก็ได้ ส่วนสัมภาระที่เตรียมมาก็ฝากไว้ในร้านก่อนได้ แล้วเราก็เลยพากันเดินชมเมืองไปทานข้าวแถวๆโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ สั่งกระเพราะหมูไข่ดาว รสชาดใช้ได้เลยทีเดียว ข้างๆร้านข้าวก็มีชาพยอมอยู่ด้วยเลยจัดไปคนละแก้ว แต่ก่อนสั่งข้าวเราก็ใช้ระบบกองกลางคือออกเงินมาคนละ 1,000 แล้วมีค่าใช้จ่ายอะไรก็ใช้จากตรงนี้แหละ พอทานข้าวเสร็จก็เดินกลับมาคุยเรื่องรถกันต่อ
ป๊อปก็ทำหน้าที่เซนเอกสารสัญญาต่างๆ แล้วก็จ่ายค่าเช่าที่ 250บาท/คัน/วัน และมันจำคันละ 1,000 บาท โดยเราได้เช่ารถทั้งหมด 4 คัน ได้ฟีโน่ปีล่าสุด 3 คัน และ TTX 1 คัน ซึ่งผมก็ได้ขับเจ้า TTX นี่แหละเพราะไม่ค่อยได้เห็นมันเท่าไหร่ ขับฟีโน่มาบ่อยแล้ว อยากลองรุ่นอื่นๆบ้าง แต่ฟีโน่ 3 คันนั้น เจ้าของร้านบอกว่าเป็นรถใหม่หมดเลย(ยกเว้น TTX) สังเกตุได้จากท้ายรถไม่มีป้ายทะเบียน เพราะเก็บไว้ใต้เบาะ ยังไม่มีเวลาติดป้ายเลยทีเดียว เอาหละรถพร้อมคนพร้อม เราก็หยิบหมวกกันน็อค แล้วเตรียมข้าวของมัดด้วยสายรัดสำหรับรัดของไว้ที่ท้ายรถแล้วออกเดินทางกันต่อไป
แวะดู Google map ระหว่างทาง
*ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ต้องมีการบันทึกรายจ่ายซึ่งก็ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนนี้ จึงขอแนะนำผู้ที่หลงเข้ามาอ่านให้รู้จัก “บิ๋ม” สาวสวยนักจดมากความสามารถ เธอทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนเงินกองกลางไม่พอก็ขอเพิ่มอีกคนละ 200 บ.ก็ผลงานเธอนี้แหละ 555
สถานีต่อไป “แม่น้ำสองสี” (ตรงไหน)
ก่อนออกเดินทางเราก็ไม่ลืมเสื้อแขนยาว, ปลอกแขน, ครีมกันแดด, แว่นตากันแดด, ถุงมือขับรถ และสายรัดของ เรียกว่าพร้อมสุดๆแระ อากาศกำลังดีเลยทีเดียว ระยะทางจากร้านเช่ารถจนถึงแม่น้ำสองสีก็ประมาณ 82 กิโลเมตร ก็ไม่ไกลเท่าไหร่  ระยะทางประมาณนี้ก็เอาการเหมือนกัน  ที่สำคัญเรามีสมาชิกสำคัญอีกคนนึงที่หัวเราะได้ซะใจที่สุดเค้าคนนี้ชื่อว่าจิ๊บ แต่ทริปนี้คงไม่จิ๊บๆและคงหัวเราะไม่ออกแน่ๆเพราะเค้าต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งๆที่ไม่เคยขับมาก่อน แต่โชคดีที่มีประสบการณ์จากจักรยานมาก่อน และรถก็เป็นเกียร์ออโต้ด้วย เลยเรียนรู้ไม่ยากมาก สรุปว่าทริปนี้จิ๊บอัพเลเวลจาก 0 เป็น 99 เรียบร้อย เก่งมากๆ ระหว่างทางเราก็มีแวะพักบ้างนิดหน่อยเพื่อดูแผนที่ให้แน่ใจและเช็คสมาชิกว่าไหวหรือปล่าว สุดท้ายเราก็ไปถึงปลายทางที่วัดโขงเจียม จุดชมแม่น้ำสองสี ที่ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันสองสีตรงไหน ฟร๊ะ!!!” (มันเหลือน้ำไว้ให้ดูก็บุญแล้วแหละ) 555 แต่ก็ไม่เป็นไร คุณค่าของการเดินทางไม่อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่วิวและมิตรภาพระหว่างการเดินทางต่างหาก (หล่อปะละ จำเค้ามาอีกที)
This slideshow requires JavaScript.
เราถ่ายรูปเล่นกันสักพักก็มากราบพระประธานในโบสถ์วัดโขงเจียมเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางทริปนี้กันสักหน่อย
จากนั้นก็แวะไปหาร้านเครื่องดื่มให้สดชื่น ซึ่งตอนขับรถเข้ามาก็ผ่านร้านนี้อยู่แล้ว ขาออกไปเราจึงลองไปแวะร้านที่ชื่อว่า “ONCE UPON A TIME” ร้านนี้มี 2 ชั้น ตกแต่งแบบวิถีชุมชนผสมความโมเดิร์นเข้าไปแบบชิคๆ ไม่รู้ศัพท์อาร์ตๆเค้าจะเรียกว่าอะไร แต่ก็ลงตัวเลยทีเดียว ระหว่างดื่มด่ำไปกับเครื่องดื่มและการหามุมถ่ายรูป บ้างก็เซลฟี่กันตามประสา ก็ได้มีพี่จากไหนไม่รู้เล่นเครื่องดนตรีอยู่บนชั้นสอง ทีแรกก็เป่าแคน สักพักก็เล่นพิณ แล้วยังเล่นโหวตต่ออีก เมพขิงๆ ดีนะไม่มีโปงลาง ตอนที่เราไป ร้านก็กำลังทำ PR กันอยู่ เลยมีคนมีถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ หยิบแก้วมาจัด Position จัดแสง เราก็ขอ PR ช่วยเลอ facebook, wongnai, blog โดยรวมแล้วชอบร้านนี้มากๆ
This slideshow requires JavaScript.
*ถ้าขับรถผ่านจะเห็นป้ายนี้ “Home stay Bike for rent”ชัดเจนกว่า ทีแรกไม่คิดว่าจะเป็นร้านเครื่องดื่ม คิดว่าเป็นห้องพักและเช่าจักรยานเท่านั้นแต่เพื่อนที่มาด้วยตาดี ไม่งั้นคงอดมาชิมเครื่องดื่มที่นี่แน่ๆ
สถานีต่อไป “จุดกางเต๊นท์” ผาแต้ม
ห่างจากแม่น้ำสองสีประมาณ 19 กิโลเมตร ก่อนไปถึงจะมีปั๊มน้ำมันท้องถิ่นอยู่เราก็แวะเติมน้ำมันเฉลี่ยคันละ 100 บาท ขับไปอีกสักพักจะมีร้านซ่อมรถเราก็แวะเติมลม ซึ่งประทับใจพี่เจ้าของร้านมากเค้าไม่คิดเงิน เข้าใจว่าต่างจังหวัดเค้าก็ไม่คิดกันอยู่แล้ว (บ้านผมก็เปิดร้านซ่อมรถก็ไม่คิดเงิน แต่พักหลังๆเริ่มคิดแระ) พอขอบคุณพี่เค้าเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อจนถึงจุดกางเต้นท์ ทางเข้าอุทยานจะมีด่านเก็บเงินอยู่ 20 บ./คน + 40บ./รถมอเตอร์ไซค์ สรุปทั้งทีมเสียไป 280 บาท แล้วเราจะได้บัตรเพื่อยืนยันว่าเราจ่ายแล้วเวลาเราออกไปข้างนอกจะได้ไม่ต้องเสียตังอีกรอบ ก่อนถึงจุดกางเต้นท์ถ้ามองไปซ้ายมือเราจะเห็นเสาเฉลียง แต่เราไม่แวะ 555 ไปหาที่นอนก่อนดีกว่าเพราะนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราเอาเต้นท์มา 2 อัน เลยต้องเช่าเพิ่มอีกอันนึง ซึ่งของที่นี่เค้าคิดราคาที่ 250 บาท นอนสบายๆไม่รวมสัมภาระได้ 3 คน ถ้ามีสัมภาระแบบผม 2 คนก็พอดีๆ ถ้าเอาหมอน ที่รองนอนเพิ่มก็คิดอีกนิดหน่อย เดี๋ยวผมเพิ่มรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ช่วงท้ายๆนะครับ การจ่ายเงินต้องรอตอนเย็นๆจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเต้นท์และอุปกรณ์อื่นๆ ระหว่างนี้เราก็เลือกเต๊นท์และทำเลได้เลย ส่วนห้องน้ำก็เพียงพอและสะอาดพอสมควร (สายรัดของก็สามารถอแดปมาเป็นราวตากผ้าได้ด้วยการรัดเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆ) จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปน้ำตกที่ใกล้ที่นี่ที่สุดคือ “น้ำตกสร้อยสวรรค์” มันต้องสวยเหมือนตกมาจากสวรรค์สินะ พอกลับมาเราจะได้มาเจอเจ้าหน้าที่แล้วเคลีย์ค่าที่พักกัน
*จุดนี้ไม่มีรูปมาฝากเลย อารมณ์ทุกคนคือบัพ “อยากไปเที่ยว” ลืมเรื่องถ่ายรูปกันทุกคน 555
น้ำตกสร้อยสวรรค์ สู้ๆซ่าๆ
ห่างจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 19 กิโลเมตรก็จะถึงน้ำตกสร้อยสวรรค์ บรรยากาศตอนที่ขับรถกำลังดี ใส่แค่เสื้อกันลมก็เพียงพอ พอขับมาถึงก็จะมีด่านและที่จอดรถ ตรงนี้ต้องจอดรถเท่านั้น ขับเลยด่านไม่ได้นะจ๊ะ (ถามมาแล้ว) แล้วก็แสดงบัตรที่ได้จากผาแต้มให้เค้าดูว่าเราจ่ายแล้วนะ จากนั้นเราก็เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร (รวมทางลงที่เป็นหินแล้ว) ระหว่างทางเราก็หลงระเริงกับแนวต้นไผ่เขียวๆตัดกับวิวใบไม้แห้งเทาๆส้มๆ
หมีที่กินไผ่อิ่มแล้ว
เบื้องหลังการถ่ายรูปหมีอีกตัวนึง
หมี 4 ตัวที่แนวทางเดิน (อีกตัวถ่ายรูปอยู่)
ใกล้จะถึงทางลงไปน้ำตกละ
เดินไปสักพักเราจะเห็นทางลงซึ่งเป็นหิน ซึ่งก็เดินไม่ลำบากสักเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็สงสัยว่าไม่เห็นมีเสียงน้ำเลย เกรงว่าคงอยู่ไกล คือไม่อยากเดินไกลเพราะอุทยานปิด 17.00 น. อยากมีเวลาถ่ายรูปนานๆหน่อย แต่ก็เดินสักพักไม่เกิน 7 นาทีก็ถึงแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าช่างซู่ซ่ายิ่งนัก
นั้นแหละครับท่านผู้ชมว่าทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงน้ำตกจากระยะไกล น้ำมันมีแค่นี้จีๆ น้ำตาจีไหล ท่อปะปาที่บ้านแตกยังแรงกว่าอีก 555 ก็อย่างว่า ปลายทางไม่สำคัญ ระหว่างทางเราสนุกกับมันก็พอโน๊ะ มีเวลาถ่ายภาพไม่นานมากแต่ก็พอใจได้ภาพมาเยอะพอสมควร
เบื้องหน้านางแบบผ่าน foreground เป็นดอกหญ้าเบลอๆ
เบื้องหลังมีหญ้าแค่กระจุกนี้แหละ 555
เอาหละถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินขึ้นกลับมาทางเดิม แต่บอกเลยว่าขึ้นมาแล้วแต่ละคนโอดโอยเลยทีเดียว ตอนลงเป็นเด็ก 15 ขวบ ตอนขึ้นกลายเป็น 51 ขวบซะงั้นเลยมานั่งพักถ่ายรูปกันอีกสักหน่อยตรงป้ายน้ำตก
พอถ่ายรูปกลับมีแรง ยิ้มได้ยังกะกินกระทิงแดงมา 10 ขวด
พักถ่ายรูปจนหายเหนื่อยก็เดินกลับออกมา แต่แสงอ่อนๆอุ่นๆยามเย็นกลับสาดส่องไปที่ต้นไผ่เขียวๆอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับสวยกว่าเดิม เลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเก็บภาพมาอีกใบ
This slideshow requires JavaScript.
หลังจากที่หลุดจากต้นไผ่นี้มาได้แล้วก็ขับรถมอเตอร์ไซค์เช่าของเรากลับมาที่จุดกางเต๊นท์ แต่เดี๋ยวๆแสงสวยๆแบบนี้ก็ต้องถ่ายกันอีกสักใบสินะ ผมขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า “มิตรภาพของวินมอเตอร์ไซค์น้ำตกสร้อยสวรรค์” ละกันนะครับ
เอาหละได้เวลากลับจริงๆสักที เราก็ขับกลับมาทางเดิม ดวงอาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้า แสงสีส้มเข้มๆเริ่มมา ภาพที่ได้นี้จึงเป็นฝีมือของ “เก่ง หรือ วิไล” ที่เราเรียกกันจนติดปาก สมาชิกคนสุดท้ายของทริปนี้ บทบาทเด่นของเธอคือการถ่ายรูปในเวลาที่คนอื่นถ่ายไม่ได้อย่างเช่นตอนขับรถ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่นั่งซ้อนท้ายคนอื่นอยู่โดยซ้อนบิ๋มเหรัญญิกของทริปนี้นี่เอง
This slideshow requires JavaScript.
ถ่ายดาวล้านดวง
บรรยากาศสองข้างทางระหว่างการขับรถกลับจุดกลางเต้นท์ดีมากๆ แล้วเราก็ขับมาจนถึงตลาดนัดก่อนถึงด่านเข้าจุดกางเต๊นท์จึงแวะซื้อของตุนไว้ทานก่อนนอน ซึ่งตลาดก็ใกล้จะวายแล้ว นี้มันเวลาประมาณหกโมงเย็นเองนี้น่า สงสัยคนที่นี่เค้านอนเร็ว เราเลยมีเวลาช็อปปิ่งได้ไม่นานก็เดินมาทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆตลาดนัด เสร็จแล้วก็เดินทางเข้าจุดกางเต๊นท์ อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยแล้วสะพายกล้องขับรถเช่าคู่ใจของพวกเรามาที่เสาเฉลียง จุดไคล์แมกซ์ของเรา สถานที่ที่เราไม่แวะตอนช่วงบ่ายที่เพิ่งมาถึง ซึ่งตอนที่มาถ่ายรูปก็มืดมากถึงมากที่สุดชนิดที่ว่าถ้าไม่ส่องไฟฉายใส่เสาเฉลียงก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น เมื่อพร้อมแล้วเราก็กางขาตั้งกล้องปรับรูรับแสง, Speed shutter, ISO ให้เรียบร้อย แล้วเล็งเลนส์กล้องไปที่หมู่ดาวที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดคือ หมู่ดาวนายพราน, สุนัขใหญ่ และสุนัขเล็ก เพราะมันคือหมู่ดาวที่สักเกตุที่ง่ายมากๆ และที่สำคัญใครที่ชอบดูดาวเหมือนผมก็คงนะรู้แล้วแหละว่าต้องได้ภาพ “สามเหลี่ยมฤดูหนาว” มาแน่ๆ แน่นอนครับเราไม่พลาดจัดไปกับรูปแรก
การตั้งค่ากล้องที่เราใช้
Speed shutter: 30 sec F-Stop: 2.8 ISO: 1000
จริงๆลองปรับ ISO ไปได้ถึง 2000 เลยนะ แต่เราขอเลือกรูปนี้ละกัน ระหว่างรอ Speed shutter 30 วิ เราก็เม้ากันไปมาสักพักเริ่มเห็นเครื่องบินพาณิชย์บินผ่านเลยสอยมาอีกหลายๆภาพ
เส้นมุมบนขวานั้นแหละเครื่องบิน
อันนี้มา 2 ลำเลย
อันนี้ออกแนวหลอน เพราะมีคนเดินตัดหน้ากล้อง 555
สองรูปสุดท้ายเราได้เปลี่ยนมุมกล้องมาที่ทิศเหนือเพื่อถ่ายดาวลูกไก่(กระจุดตรงกลางภาพ), ดวงแดงๆเยื้องไปอีกนิดเป็นดาวอัลติบาเรน(Aldebaran)หรือดาวตาวัว อยู่ในกลุ่มดาววัว(Taurus) หนึ่งใน 12 ดาวจักราศี และดาวสีแดงๆเยื้องไปจนเกือบสุดภาพคือดาวบีเทลจุส(Betelgeuse) อยู่ในกลุ่มดาวนายพรานหรือคนไทยจะเรียกดาวกลุ่มนี้กว่าดาวเต่า โดยบีเทลจุสจะอยู่ในตำแหน่งไหล่นายพราน เอาหละเราเรียนดาราศาสตร์กันพอหอมปากหอมคอ และต้องขอบคุณแอพ Star chart ที่ทำให้เราหาตำแหน่งต่างๆได้แม่นยำขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนผมก็ใช้แผนที่ดาวอะแหละ ยอมรับว่าสมัยนี้สบายมากๆมีแอพบนมือถือเลยทีเดียว
และสักพักก็มีอีกกลุ่มมาถ่ายรูปดาวเหมือนกลุ่มเราเลย สังเกตุจากการตั้งขาตั้งกล้อง และคงไม่มีอะไรให้ถ่ายนอกจากดาวเพราะมันมืดมาก คงไม่มาเซลฟี่แถวนี้แน่นอน เมื่อเราอิ่มเอมจากการถ่ายรูปดาวที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมาหลายวัน ก็ถึงเวลาเข้านอนกันแล้ว ราตรีสวัสทุกคนครับ
สำผัสแสงแรกก่อนใคร(ในไทย)ที่ “ผาแต้ม”
จริงๆแล้วก่อนนอนเราก็มานั่งกินลูกชิ้นที่ซื้อมาจากตลาดนัดกันก่อน อากาศในเต๊นท์เมื่อคืนนี้ก็ดีมากๆ นอนในถุงนอน+ใส่เสื้อกันหนาวอีกชั้นนึง ส่วนอุณหภูมินอกเต๊นท์ต่ำสุดประมาณ 16 องศาเซลเซียส เราเลยตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่อย่างสดชื่นในตอนเช้าของวันที่ 29 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่จะเดินทางกลับกัน เรานัดกันตื่นนอนที่เวลา 05.30 น. เพราะเมื่อคืนเราเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้วว่าจะขึ้นที่เวลาประมาณ 06.30 น. หลังจากล้างหน้าแปรงฟันอะไรเรียบร้อย เราก็รีบขับรถไปผาแต้มทันที คนไม่มากไม่น้อย บางคนอยู่ในสภาพมีผ้าห่มพันรอบตัว อารมณ์แบบว่า “ชั้นมานอนรอพี่ที่ผาแต้มทุกวันเรยนะ” ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นเราก็ตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปเพื่อนๆไปเรื่อยๆ และตั้ง iPhone ในโหมด Time lapse เล็งไปที่จุดที่พระอาทิตย์จะขึ้น เพื่อความชัวร์ผมก็ใช้แอพ Start chart เช็คตำแหน่งอีกที ละนี้คือเทคโนโลยีล่าสุดของขาตั้งกล้อง iPhone ของทีมเรา(โปรดสังเกตุที่��วามือของรูปข้างล่าง)
สีขาตั้งกล้องเข้ากับสีเสื้อของนางแบบเลยทีเดียว
บรรยากาศโดยรอบ
เลยแม่น้ำโขงนี้ไปก็ประเทศลาวแล้ว
“บรรยากาศแบบ 360 องศา”
เมื่อชาร์จพลังงานรับแสงแรกจากดวงอาทิตย์เสร็จแล้วเราก็เดินทางไปตามหาภาพเขียนสีทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำกันสักคน ก็หาทางลงกันอยู่นานสองนานสุดท้ายก็เจอป้ายนำทาง ให้เราเดินไปตามป้ายไปเรื่อยๆสักพักก็จะเจอภาพเขียนสีซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 จุด และทางที่เราเดินไปจะเป็นลักษณะวนกลับมาที่จุดชมพระอาทิตย์ระยะทางรวมระยะทางประมาณ 3.8 กิโลเมตร ถ้าไม่แกร่งหรือมีเวลาน้อย แนะนำให้เดินกลับไปทางเดิมจะดีกว่า เพราะกว่าทีมผมจะเดินทางมาถึงปลายทางก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันไปแทบทุกคน ยกเว้นผมยังไหวอยู่ ฮาๆ ได้ภาพมาฝากประมาณนี้จ้าา
ทางลงไปชมภาพเขียนสี
ภาพเขียนสี
มีแผ่นหินอ่อนสลักสัญลักษณ์ว่าสมเด็จพระเทพฯท่านเคยมาที่นี่
พักเหนื่อยระหว่างทาง
หน้าผาที่เป็นจุดถ่ายภาพยนต์เรื่องอเล็กซานเดอร์มหาราช
ใกล้ถึงแล้ว ลองมองไปกลางๆภาพจะเห็นถนนที่เราขับรถขึ้นมา ซึ่งคดเคี้ยวสวยมาก
ถึงปลายทางแล้ว
มองผ่านเลนส์
เสร็จจากการเดินรอบผาแต้ม เราก็พักเติมพลังที่ร้านเครื่องดื่มใกล้ๆกันสักครู่แล้วออกเดินทางมาที่จุดกางเต๊นท์กันต่อเพื่ออาบน้ำ, เก็บเต๊นท์และเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางไปสถานที่ต่อไป ซึ่งเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนต้องไปทานข้าวเช้ากับข้าวเที่ยงพร้อมกันที่สถานที่ต่อไป
พักทานอาหารที่ “เขื่อนสิรินธร”
ก่อนถึงเขื่อนสิริธรเราก็แวะถ่ายรูปอีกใบที่สะพานข้ามแม่น้ำมูล(ไม่มีชื่อสะพาน) วิวดีแต่ร้อนไปนิด ส่วนผมก็ทำหน้าที่นำขบวนยาวไปเรื่อยๆ โดยมีบางจังหวะที่ป๊อปก็มาสลับบ้าง
ขับรถมาถึงเขื่อนสิรินธรก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงพอดี ที่นั้นมีศูนย์อาหารอยู่ให้เราไปนั่งที่โต๊ะได้เลยสักครู่จะมีพนักงานมาจดรายการอาหาร(ทีแรกนึกว่าเป็นร้านแบบข้าวราดแกง) อาหารที่นี่ก็อร่อยใช้ได้เลย ภาพข้างล่างนี้เร่งสีผ่านแอพ Snapseed
เมื่ออิ่มแล้วก็ไปเก็บภาพที่สันเขื่อนต่อ ซึ่งห้ามขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาเน้อ เราเลยต้องเดินเท้าเข้ามากัน แต่ก็ถ่ายได้ไม่นานเพราะแดดแรงมากกกก ก.ไก่ล้านตัว
แก่งสะพือ กับน้ำที่หายไป
หลังจากถ่ายรูปที่สันเขื่อนสิริธรอันร้อนแรงจากแดดที่แผดเผาเสร็จแล้ว เราก็ขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อนำรถไปส่งคืนที่ร้านเช่ารถ แต่เราก็คิดว่าอยากหาที่เที่ยวอีกสักที่ที่อยู่ระหว่างทางกลับ เราเลยเปิด Google map และแผนที่ท่องเที่ยวที่หยิบติดมือมาจากร้าน One upon a time ได้ลงมติกันอย่างเป็นประชาธิปไตยว่า จะไปแก่งสะพือ เราขับรถกันสักพักด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่าๆเดิมคือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยผมยังเป็นผู้นำขบวนอยู่ บรรยากาศการขับรถครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆเพราะเป็นช่วงเย็นและต้องขับต้านทานกับแสงแดดที่ส่องมาตรงหน้าของเรา เพราะเรากำลังขับมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตก แม้เราจะใส่แว่นกันแดดก็ช่วยลดแสงได้ดีมาก แต่ไม่สามารถลดทอนความง่วงไปได้เลย เพราะเราขับทางไกล แบบนิ่งๆเรื่อยๆ ผมจึงต้องคิดค้นวิธีแก้ง่วงในแบบฉบับของตัวเองคือ ส่งรอยยิ้มค้างไว้ไปตลอดทาง เรียกได้ว่าเป็น “แป๊ะยิ้ม” เลย นาทีนั้นไม่คิดว่าต้องอายใครเพราะคนที่ขับรถผ่านก็คงเจอเราแค่ครั้งเดียวและไม่มีทางจำเราได้หรอก 555 (กลัวหลับในมากกว่า) แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนที่ขับรถตามหลังมาเค้ามองมาที่กระจกส่องหลังของรถเรา พอจอดรถมันก็มาถามว่า “เป็นไรหรอยิ้มตลอดทางเลย” เราเลยขำๆแล้วตอบกลับไปว่าแก้ง่วงๆ ใครจะเอาไปทำตามก็ได้นะครับ ไม่จดลิขสิทธิ์ อิอิ
เอาหละสุดท้ายก็ขับรถมาถึงแก่งสะพือแบบปลอดภัยไร้ความบาดเจ็บ แต่ก็มาเจอเรื่องเซอร์ไพร์สที่ทุกคนต้องร้อง ว้าว โอ้ว Goddddd ก็คือ เราดูไม่ออกว่านี้มันคือแก่งสะพือ ลองดูรูปในเว็บกันก่อน
paiduaykan.com
www.touronthai.com
static1-velaeasy.readyplanet.com
แล้วมาดูสิ่งที่เราเจอบ้าง
ดูสิครับท่านผู้ช๊ม ไม่เหลือความเป็นแก่งเบย เราน่าจะมาผิดช่วงอะนะ แต่ก็นะ สไตล์การเที่ยวของเราไม่เครียดกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนเราได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากกว่า 555 (ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไร) เราเลยถือโอกาสเดินสำรวจพื้นที่เหมือนลงสำรวจพื้นที่ประสบภัยความแห้งแล้งโดยท่านนายกอบต.ป๊อปและคณะทีมงาน
เมื่อเราสำรวจความแห้งแล้งเรียบร้อยแล้วเราก็ Relax กันต่อ
น่าเสียดายที่วิไลหมดสภาพไปแล้ว ไม่สามารถมาร่วมคณะสำรวจของเราได้ เลยนั่งพักอยู่ในร่มไปก่อน เอาหละ ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งตรงสู่ร้านเช่ารถโดยผมก็ยังนำขบวนอยู่เหมือนเดิม ด้วยความที่เข้าเขตชุมชนแล้วความซับซ้อนจะมากขึ้นผมจึงนำทางผิดซะงั้น เลยให้ป๊อปนำทางไปเลย ฮาๆ แต่ก่อนจะถึงร้านเช่ารถเราก็ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน เพราะตอนที่เราขับออกมาจากร้านเช่ารภ เจ้าของร้านได้เติมน้ำมันให้เต็มถังทุกคันแล้ว ตอนจะส่งรถคืนร้านก็ต้องเติมให้เต็มเช่นกันจ้าา (หรือพูดง่ายๆว่าออกค่าน้ำมันกันเองเน้อ)
พอเติมน้ำมันในปั๊มที่ตัวเมืองเสร็จเราก็แวะพักดื่มอะไรเย็นๆกันก่อนที่ร้านอเมซอนกันสักพัก แล้วแวะร้านของฝากสักหน่อย ซึ่งเราก็แวะร้านหมูยอ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว เสร็จแล้วเราก็คืนรถเสร็จสรรพรับมัดจำคืน แล้วเดินไปโบก Taxi เพื่อไปที่สถานีรถไฟซึ่งเราได้ทิ้งวิไลพร้อมกับสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้ว วิไลเลยทำหน้าที่เฝ้าสัมภาระที่สถานีรถไฟไปด้วย เราคืนรถเสร็จเวลาประมาณหกโมงเย็นซึ่งทำเวลาดีมาก เพราะรถไฟขากลับล้อหมุนตอน 19.00 น. ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจ้าา
ลาแล้วอุบลราชธานีที่รัก
ไม่รู้จะตั้งหัวข้อว่ายังไงดี เลยจัดแบบนิยายรักยุคคุณพ่อไปก่อน ขากลับนี้เราได้ถือโอกาสลองไปใช้ตู้เสบียงกันดูบ้าง เพราะตอนขามาอุบลเรานอนเป็นหลัก ขากลับเรายังพอมีเวลาปาร์ตี้มาม่ากันสักหน่อย บ��กกับเราต้องเคลียร์อาหารให้แบกกลับไปน้อยที่สุดเพราะยังมีขนมก๊อปแก๊บ, ปลากระป๋อง, องุ่น, ฯลฯ ที่ยังทานกันไม่หมด รวมถึงหนมเนืองที่ซื้อจากร้านของฝากขึ้นมาทานกัน ซึ่งการกินแหนมเนืองแบบปกติบ้านๆเราต้องมีมีดเอาไว้หั่นมะม่วง, พริก, แหนมเนือง(ที่เป็นหมูแท่งๆ), ฯลฯ แต่เราไม่ได้หยิบมีดมาจากตู้ที่เรานอน เลยต้องงัดวิชาลูกเสือสำรองขึ้นมาด้วยการใช้ฝาปิดปลากระป๋องอันแหลมคมมาหั่นสิ่งต่างๆแทนมีด และยังมีอีกอย่างที่เป็นปัญหาคือที่่รองน้ำใส่แผ่นแป้ง อันนี้เราก็เอาแผ่นพลาสติกจากถุงแหนมเนืองมาปิดถ้วยมาม่าคัพที่ทานหมดแล้วรัดด้วยหนังยาง จากนั้นก็กดพลาสติกลงให้เกิดความนูนพอที่จะใส่น้ำได้ (ทำไมมันต้องลำบากขนาดนี้ ฮาๆ) ต้องขอบคุณนวัตกรรมใบมีดยีลเลทตราสามแม่ครัวจากท่านอบต.ป๊อป และพลาสติกรองน้ำใส่แป้งจากเหรัญญิกบิ๋มด้วยจ้า ที่ทำให้เราได้กินแหนมเนืองเวอร์ชันย้อนยุคกัน ระหว่างทานไปก็เพิ่งนึกได้ว่าเค้ามีบริการ WiFi ฟรีด้วยนะเออ ความเร็วใช้ได้เลอออ
มาม่าคัพราคา 25 บาทนะเตง
มานั่งรอตั้งแต่รถไฟยังไม่ออก คนเลยไม่ค่อยมี
สรุป
การเดินทางของเราก็คงต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้ ทุกอย่างในทริปนี้อาจไม่ได้หวือหวามากมาย รูปที่ลงเราก็ไม่ได้แต่งเลย (มีบางรูปที่ไม่ไหวจริงๆ เราก็ใช้ Snapseed ช่วยสักหน่อย) แต่ประสบการณ์ที่เราได้รับมีค่ามากๆที่เราได้ร่วมเดินทางไปกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หวังว่าการเดินทางของเราจะจุดประกายให้หลายๆคนอยากออกไปผจญโลกภายนอกกันบ้าง เพราะนอกจากเราได้ไปถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้ว ระหว่างทางมันจะมีจุดเล็กๆให้เราได้สัมผัสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม บรรยากาศ ฯลฯ ที่ไม่เหมือนที่ที่เราเคยอยู่ และเพราะเราเลือกใช้การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ที่อาจจะดูเสี่ยงถ้าเจอเพื่อนร่วมถนนที่ไม่ดี แต่มันก็ทำให้เราได้สัมผัสสายลม แสงแดด หยดน้ำได้เต็มที่ อยากไปช้าไปเร็วเราควบคุมได้  สำหรับผมแล้วมันสุดยอดมากๆ บวกกับการเดินทางด้วยรถไฟอีสานวัตนาหรือรถไฟขบวนใหม่นี้ผมให้คะแนนเต็มไปเลยทั้งเรื่องตรงเวลา ความสะอาด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่หักนิดหน่อยก็เรื่องการบริการ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนอะโน๊ะ บางคนก็บริการดีมาก บางคนก็ดีน้อย แต่ระดับนี้ผมก็โอเคนะทนไหว ฮาๆ ถ้าได้นั่งชั้น 1 คงจะฟินกว่านี้ (แต่ไม่มีตังแว้ว)
ใครที่อยากออกจาก Comfort zone ลองมาออกเดินทางในแบบของเราได้นะครับ ปกติแล้วเพื่อนกลุ่มนี้ชอบเที่ยวกันอยู่แล้ว ถ้าผมได้ไปด้วยจะกลับมาเล่าให้ฟังให้อ่านกันอีกนะครับ แล้วเราค่อยมาเจอกันใหม่ในทริปหน้า ขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านกันจนจบครับ
Let’s travel the world together.
สรุปค่าใช้จ่าย
Version PDF คลิกที่นี่จ้า
  ใครชอบสามารถกด Like fanpage: Oatrice เป็นกำลังใจให้ได้เลยนะครับ จะได้มาเขียนบ่อยๆครับ อิอิ
  ลิงค์อ้างอิง
1. ชื่อรถไฟพระราชทาน 2. ข้อมูลรถโดยสารรุ่นใหม่ (Update)
[Travel] 5 คน 4 คัน 2 วัน ทริปอีสานวัตนา จนขับมอเตอร์ไซค์ไปผาแต้ม (ถ่ายดาวล้านดวง) ลองเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความแนวท่องเที่ยวกันบ้าง สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขียนเรื่องราวแบบนี้ เป็นทริปที่ไม่ได้ขายความถูก ไม่ได้ขายความหรู และไม่ได้ขายของใดๆ เพราะไม่มีสปอนเซอร์เลยจ้า มีแต่ตังตัวเองล้วนๆ ดังนั้นจะเป็นการเล่าที่ตรงไปตรงมาชอบก็ชม ไม่ชอบก็ขอบ่นนิดนุง(ไม่ดราม่า) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปแรกที่ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดินทางจนถึงก้าวสุดท้ายที่ต้องเดินเข้าประตูบ้าน เอาละคงอยากอ่านกันแล้วใช่มั้ยล้า งั้นขอเชิญทุกท่านเดินทางไปกับเราโดยรถไฟขบวนอีสานวัตนากันเลย ฉึกกะฉักๆ ปู้นๆ
0 notes
kiddaikiddee · 7 years
Text
เที่ยวดิ ดี๊ดี เขื่อนสิรินธร เขื่อนหินถมแกนดินเหนียว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
เที่ยวดิ ดี๊ดี เขื่อนสิรินธร เขื่อนหินถมแกนดินเหนียว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี #เขื่อนสิรินธร , #สิรินธร , #ลำโดมน้อย , #เที่ยวอุบล, #อุบลราชธานี เขื่อนสิรินธร เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว สร้างปิดกั้นแม่น้ำลำโดมน้อยอันเป็นสาขาของแม่น้ำมูล ที่บริเวณแก่งแชน้อย ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เขื่อนสิรินธร สร้างในปี พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2514 เขื่อนสิรินธร ยังมี…
View On WordPress
0 notes
meaw13-p · 2 years
Photo
Tumblr media
29/12/2564 รอบสื่อมวลชน 😅😅😅😂 skywalk เส้นทางศึกษาธรรมชาติ (at เขื่อนสิรินธร อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี) https://www.instagram.com/p/CYGmuhCJ27FDGh0XyEYGu1QxeEXXFLcsIpP_G00/?utm_medium=tumblr
0 notes
mmalinp · 3 years
Photo
Tumblr media
You better run run run 🏃🏻‍♀️ (at เขื่อนสิรินธร) https://www.instagram.com/p/CKwjolsLVzQ/?utm_medium=tumblr
0 notes
esan108 · 6 years
Link
via อีสานร้อยแปด ดอทคอม
0 notes
Link
รับคณะที่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานี และเดินทางไป ที่ด่านพรมแดน ช่องเม็ก ไทย-ลาว 10.00 น. นำคณะ แวะถ่ายรูป ก่อนถึงด่านช่องเม็ก  ถ่ายรูป วัดภูพร้าวสิรินธรวราราม ชมโบสถ์ศิลปะแบบล้านช้าง  ถ่ายรูป ต้นโพธิ์เรืองแสง และพร้อมชมวิว เขื่อนสิรินธร
0 notes
ubontt · 2 years
Text
อุบลทีที บริการรถตู้vipให้เช่าจังหวัดอุบลราชธานี
👉ขอบพระคุณ ทีมงานช่อง4 NBT กรมประชาสัมพันธ์ ที่เรียกใช้บริการของอุบลทีที ในการสำรวจพื้นที่การถ่ายทำรายการ ณ เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
👉นักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดอุบลราชธานี หน่วยงานราชการ เอกชน ที่กำลังมองหารถตู้ให้เช่าที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อใช้ในการเดินทางทำภารกิจต่างๆ อุบลทีที รถตู้เช่าที่��ุบล ยินดีให้บริการ
👉อัตราค่าบริการ รถตู้เช่าจังหวัดอุบลราชธานี ราคา 1,800 บาท ต่อวัน พร้อมคนขับรถที่ชำนาญเส้นทาง ไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิง นักท่องเที่ยวสามารถใช้รถตู้ได้ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น.
👉สนใจเรียกใช้บริการได้ที่ โทร.0837448440 line ubontt
👉หรือสืบค้นข้อมูลเพิ่มได้ที่ www.ubontt.net www.ubontt-van.com www.ubon-tt.com
#รถตู้อุบล #เช่ารถตู้อุบล #รถตู้vipอุบล #เช่ารถตู้พร้อมคนขับ #เหมารถตู้อุบล #รถตู้เช่าจังหวัดอุบลราชธานี #เที่ยวอุบล
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
0 notes
umayui-blog · 6 years
Photo
Tumblr media
สวยงามสมคำร่ำลือ 😊🙏🏻 #วัดเรืองแสง #ตะลอนอุบล #ช่องเม็ก #โขงเจียม #เขื่อนสิรินธร #ยโสธร #วัดหนองบัว #WatSirindhornWararam #tample #ubontown #UbonRatchathaniprovince #iphone6plus #photography #holiday #goodmood #lifestyle #feelgood #beautifulday #photoshoot #wat #instadaily #instafamous #instagood #instagram #instalove #instamood #iphoneography #photo #photography #photooftheday #picoftheday (at วัดสิรินธรวราราม ภูพร้าว จ.อุบลฯ)
0 notes
bombayboytoy · 4 years
Photo
Tumblr media
#เขื่อนสิรินธร #สิรินธร #อุบลราชธานี #ไทย #ประเทศไทย #SirindhornDam #Sirindhorn #UbonRatchathani #th #thai #thailand #iphone #iphonese #iphonese2016 https://www.instagram.com/p/CDdVdc8nky_/?igshid=16rhbc65tyo5j
0 notes
sarawuts · 7 years
Video
Nice weather (at เขื่อนสิรินธร)
0 notes
meaw13-p · 2 years
Photo
Tumblr media
😌 อากาศ (at เขื่อนสิรินธร อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี) https://www.instagram.com/p/CYEp7-dpDCeImpdnhXZNw7EscNH8GHP1gbRhgY0/?utm_medium=tumblr
0 notes
nuanlaor1213 · 7 years
Photo
Tumblr media
🌊 (at เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี)
0 notes
blogiurbaninth · 7 years
Text
กฟผ. ดำเนินโครงการชีววิถี เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
กฟผ. ดำเนินโครงการชีววิถี เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
กฟผ. ได้ดำเนินโครงการชีววิถี เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม สร้างความรู้ความเข้าใจในการเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างธรรมชาติ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ โดยมุ่งเน้นการนำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM) มาใช้แทนสารเคมี ในการดำเนินงาน 4 กิจกรรม ได้แก่ การเกษตร การประมง การปศุสัตว์ และการจัดการสิ่งแวดล้อม ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ชุมชน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองและลดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางโครงการชีววิถีฯ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เขื่อน และใต้แนวสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน จวบจนปัจจุบันมีชุมชนต้นแบบทั้งหมด 39 แห่งทั่วประเทศ
Tumblr media
ความเป็นมา
ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ความว่า “…สิ่งสำคัญคือเราพออยู่พอกิน อุ้มชูตัวเราได้ให้มีความพอเพียงแก่ ตัวเอง พึ่งตนเองได้ หมายความว่าให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตน มีกินมีใช้ตามอัตภาพ แล้วที่เหลือจึงจะขายเป็นรายได้ต่อไป…”
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จึงสืบสานพระราชปณิธานในเรื่องนี้ โดยรับพระราชเสาวนีย์จาก สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งที่ทรงประทับแรม ณ เขื่อนสิรินธร อ.โขงเจียม    จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2541 มาดำเนินการจัดตั้ง “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากศูนย์อำนวยการประสานงานเพื่อความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ป่าดงนาทามอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ และเทคนิควิธีการนำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) มาใช้ทางด้านการเกษตร การเลี้ยง สัตว์น้ำ และปศุสัตว์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ กฟผ. ยังได้นำเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมมาดำเนินการด้วย ต่อมาได้มีการจัดอบรมให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และยังขยายผลไปยังหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ วัด โรงเรียนและชุมชนต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวม และในปี พ.ศ. 2546 กฟผ. จึงได้จัดตั้งโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการดำเนินงานเพื่อสังคม ด้วยการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ระหว่างธรรมชาติและการดำรงชีวิตของมนุษย์ รู้จักนำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาพัฒนาเพื่อใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โดยเน้นเรื่องปลอดสารพิษเป็นหลักสำคัญ และไม่ก่อหนี้สิน ผสมผสานกับการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง คำนึงถึงการรักษาและฟื้นฟู สิ่งแวดล้อม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในท้ายที่สุด
วัตถุประสงค์
โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยวิถีการดำเนินชีวิตแบบพออยู่พอกิน พึ่งพาตนเองได้ด้วยการทำการเกษตรแบบธรรมชาติ
เพื่อนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
ส่งเสริมวิถีของคนไทย ให้รู้จักพอมีพอกิน พึ่งตนเองได้
ให้ความรู้ ความเข้าใจในการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ��ม่ทำลายระบบนิเวศ
เสริมสร้างจิตสำนึก ให้เกิดการเกื้อกูลกัน
เสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง และสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้ยั่งยืน
ส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัยสู่สุขภาพอนามัยที่ดี อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
ส่งเสริมให้ทำเกษตรกรรมธรรมชาติ ลดต้นทุนจากการใช้สารเคมี
สนับสนุนและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ส่งเสริมเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
Tumblr media
การดำเนินการ
แนวทางในการดำเนินการ โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดำเนินการตามแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ด้วยการส่งเสริมใน 4 เรื่อง ได้แก่
การเกษตร การเพาะปลูก พืชไร่ พืชสวน พืชผัก นาข้าว ไม้ดอกไม้ประดับ
การประมง การเลี้ยงสัตว์น้ำ เลี้ยงปลาในบ่อพลาสติกขนาดเล็ก เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงกบ เลี้ยงตะพาบน้ำ ฯลฯ
ปศุสัตว์ เลี้ยงไก่ หมู วัวเนื้อ วัวนม แพะ ไก่งวง ฯลฯ
สิ่งแวดล้อม บำบัดน้ำเสีย กำจัดเศษอาหารในครัวเรือน ด้วยการใช้ถังพิทักษ์โลก บำบัดกลิ่นในห้องน้ำ ทำความสะอาดบ้านเรือน สุขภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดำเนินการใน 4 เรื่องดังกล่าว ด้วยการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิ์ภาพเป็นตัวช่วย โดยทางโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ทดลองใช้แล้วได้ผลดี และเนื่องจากจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิ์ภาพ เป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งนับเป็นเกษตรทางเลือก (Alternative Agriculture) อีกทางหนึ่ง
The post กฟผ. ดำเนินโครงการชีววิถี เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง appeared first on iUrban.
Credit: กฟผ. ดำเนินโครงการชีววิถี เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง Web: iURBAN Fanpage: facebook.com/iURBAN.in.th
0 notes