Tumgik
ppakrop · 3 years
Text
เพศของลูก LGBTQIA+
หมายเหตุ : บทความนี้ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 3 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นปีที่มีการเผยแพร่ความเข้าใจเรื่อง LGBTQIA+ มาเป็นระยะเวลาพักใหญ่แล้ว อนึ่ง ในบางประเทศรับรู้ถึงเรื่องนี้อย่างเข้าใจดีและมีการสมรสระหว่างบุคคลเพศภาพเดียวกันอย่างเท่าเทียมแล้ว แต่ไม่ใช่ในประเทศไทย ณ ตอนที่ผมพิมพ์บทความบทนี้
คำเตือน :  เนื้อหาของบทนี้เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว, การยอมรับตัวตนของ LGBTQIA+
 จากคนเป็นลูก …
     ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็น LGBTQIA+ และผมก็เพิ่งรู้ตัวไม่นานสักเท่าไหร่ สำหรับผมไม่มีสัญญาณอะไรเลย ชอบก็คือชอบ แค่นั้น… ผมเคยได้คุยกับเพื่อนคนนึงที่รู้ตัวมาตั้งแต่อยู่มัธยมต้นแล้ว เพื่อนผมเป็นผู้หญิง เธอบอกกับผมว่าสมัยเธอม.ต้น ก็โดนเพื่อน Make fun กับเรื่องที่เธอชอบผู้หญิง จนเธอไม่ได้บอกใคร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอายที่จะบอก แต่พอคนรอบข้างเป็นแบบนั้นก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นอะไร และผมก็มีรุ่นน้องคนนึงที่เป็นผู้หญิง ซึ่งน้องก็นำเรื่องที่ตัวเองชอบผู้หญิงไปบอกแม่เหมือนกัน แม่ของน้องตอบกลับมาว่า ‘แม่ยอมรับได้นะถ้าใครจะเป็น (LGBTQIA+) แต่ลูกแม่ไม่เป็นได้ไหม? ’ คุณเห็นอะไรจากประโยคนี้ไหมครับ?
     ‘ยอมรับได้นะ…แต่’
     สำหรับผมมันแปลว่ายอมรับไม่ได้นะ… ในการที่จะบอกเรื่องแบบนี้กับผู้ปกครอง ณ ตอนที่สังคมยังไม่ยอมรับและไม่ได้เข้าใจมากนัก ผมว่าน้องคงใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่มากเหมือนกัน
     ตอนนั้นผมเลยบอกกับน้องว่า ‘พี่ไม่ได้บอกพ่อแม่หรอกนะว่าพี่เป็น’ เพราะในตอนนั้นสำหรับผม ผมไม่ได้มองว่ามันสำคัญอะไร บางทีที่พ่อแม่อยากให้ลูกสาวมีแฟนเป็นผู้ชาย อาจจะเพราะเป็นห่วง อยากให้มีคนคอยปกป้อง… แต่จริง ๆ แล้วผู้หญิงสามารถปกป้องตัวเองและปกป้องแฟนของตัวเองได้เช่นกัน ในวันนึงที่เขาเลิกมองผมเป็นเด็ก เห็นผมยืนได้ด้วยตัวเอง เติบโตและออกไปใช้ชีวิต เขาคงหายห่วงและการมีคนดูแลลูกสาวของเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
     เมื่อนึกย้อนกลับไปสมัยผมยังเด็กยังไม่มีนิยามของ LGBTQIA+ ออกมาเยอะขนาดนี้ และในสมัยก่อนมักจะใช้คำเรียกกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นคำเหยียดหรือคำด่าด้วยซ้ำ เช่น เกย์, ตุ๊ด/กะเทย, ทอม แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนยังขาดความเข้าใจและการยอมรับเป็นอย่างมาก ทำให้ LGBTQIA+ ต้องเจ็บปวดกับการเป็นตัวของตัวเอง  
     ‘จริง ๆ แล้ว… เขาเจ็บปวดเพราะสังคมต่างหาก’
     สมัยนั้นผมเคยได้ยินว่าแค่การบอกพ่อแม่ว่า ‘ผมชอบผู้ชาย’ หรือ ‘หนูชอบผู้หญิง’ ก็อาจถูกตบตี ทำร้ายร่างกาย ไล่ออกจากบ้านหรือตัดขาดจากการเป็นลูกเลย
‘เราจะไม่มีที่ยืนในสังคมและไม่มีเหลือแม้กระทั่งครอบครัวเพียงเพราะเป็น LGBTQIA+ เหรอ?’
 ถึงพ่อและแม่…
         สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ก่อนอื่นเลยขอบคุณนะครับที่คุณเลี้ยงดูเด็ก ๆ ของคุณจนเติบโตมาถึงขนาดนี้ ผมรู้ว่าการเลี้ยงดูเด็กคนนึงให้เติบโตทั้งร่างกายและจิตใจที่เข้มแข็งมันไม่ได้ง่ายเลย ว่าแต่ลูกคุณโตขนาดนี้แล้วคุณรู้หรือยังครับว่าลูกของคุณเพศอะไร?
               ถ้าคุณบอกว่ารู้เพราะดูในสูจิบัตร ข้อมูลของคุณคงเป็นข้อมูลทางการแพทย์เสียแล้วล่ะครับ
     สมมุติเล่น ๆ นะครับว่าวันนึงลูกของคุณเดินมาบอกคุณว่า ผม/หนูเป็น LGBTQIA+ คุณจะพูดกับลูกว่ายังไงครับ ? ผมคงคาดเดาไม่ได้ว่าคุณจะตอบกลับลูกของคุณอย่างไร แต่สิ่งที่ผมรับประกันได้คือเด็ก ๆ ของคุณได้รวบรวมความกล้าหาญอย่างมากที่จะเปิดอกคุยกับคุณ เหตุผลที่ต้องรวบรวมความกล้าคงอาจเพราะเขากลัวคุณผิดหวัง…
     เขากลัวว่าคุณจะเสียใจ ผิดหวังในสิ่งที่เขาเป็น ทำให้คุณโกรธหรือร้องไห้ ผมเชื่อว่าลูกของคุณไม่อยากทำแบบนั้นกับคุณหรอก ในหัวคุณอาจจะเต็มไปด้วยคำถามว่า คบเพศเดียวกันจะไปรอดไหม, จะดูแลกันยังไง, ในอนาคตลูกจะเปลี่ยนใจหรือไม่ และอื่น ๆ ผมเองก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้ แต่คนที่ให้คำตอบได้ใกล้เคียงที่สุดก็คือลูกของคุณเอง ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่เปิดใจคุยกับเขา บอกเขาตรง ๆ ว่าคุณกังวลอะไร สงสัยเรื่องไหน หรือเป็นห่วงเรื่องอะไร เปิดโอกาสให้ลูกของคุณได้ตอบคำถามเหล่านั้น อธิบายและทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันทั้งสองฝ่าย
     ถ้าลูกของคุณเคยมาบอกกับคุณเรื่องแนว ๆ นี้แล้ว ผมอยากบอกว่าลูกของคุณเป็นเด็กน่ารักนะครับ ไม่ใช่เด็กทุกคนที่มีอะไรก็มาบอกพ่อแม่ (ผมคนนึงแหละที่ไม่เคยบอกพ่อแม่ของตัวเอง) ลูกคุณเป็นห่วงความรู้สึกของคุณมากเลยนะครับก็เลยมาเปิดใจคุยกับคุณแบบนี้ ผมว่ามันน่าภูมิใจมากเลยนะที่เจ้าตัวเล็กของคุณที่เมื่อก่อนเคยเดินเตาะแตะ แค่หกล้มก็ร้องไห้แล้ว แต่ตอนนี้กำลังโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น นั่งแลกเปลี่ยนทัศนคติกับคุณอย่างจริงจัง
     ได้โปรดรับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองกับเจ้าตัวเล็กของคุณหน่อยนะครั��� สิ่งหนึ่งที่คุณจะได้รู้ก็คือเจ้าตัวเล็กของคุณกำลังเติบโตไปอีกขั้นและกำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมอย่างเต็มตัวแล้ว
     ขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองทุกคนที่เลี้ยงเด็ก ๆ มาอย่างดี ขอบคุณที่มอบความรักความเข้าใจให้พวกเขา ขอบคุณที่รับฟังและโอบกอดเด็ก ๆ ของคุณด้วยความรักที่ไร้เงื่อนไข  
//ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตจะมีการเข้าใจอย่างเปิดกว้างในเรื่อง LGBTQIA+ มากขึ้นจนบทความบทนี้จะกลายเป็นเรื่องล้าหลังเสียจนไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กคนไหนคนไหนต้องมานั่งเปิดใจคุยกันในหัวข้อนี้อีก ;)
8 notes · View notes
ppakrop · 4 years
Text
อย่าปล่อยมือเด็กคนนั้น
     คุณครับ… คุณที่กำลังอ่านอยู่ ผมมีคำถามครับ ! สำหรับคุณแล้วคำว่า ‘ผู้ใหญ่’ หมายถึงคนช่วงอายุเท่าไหร่กันครับ ? 20ปี 25ปี 30ปีขึ้นไป หรือแม้แต่15ปีก็เป็นผู้ใหญ่ได้ แล้วคำว่า ‘เด็ก’ ล่ะครับ อายุเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าเขายังเป็นเด็กอยู่ ?
     ผมขอถามคุณหน่อยได้ไหม ว่าตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ? และถ้ามองข้ามเรื่องวุฒิภาวะไปก่อน คุณคิดว่าอายุของคุณนั้นโตพอที่จะใช้คำว่า ‘ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว’ ได้หรือยัง ?
      ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมก็อยากคุยกับคุณฉันท์เพื่อนคนหนึ่ง แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณยังเป็นเด็กอยู่ผมก็อยากบอกสิ่งนี้กับคุณ เพื่อให้ได้เตรียมตัวรับมือกับความเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตที่อาจจะทำร้ายคุณก็ได้…
      คุณอาจจะเคยได้ยินคนในครอบครัวพูดกับคุณหรือเห็นการแสดงออกของเขา ซึ่งทำให้คุณรู้สึกราวกับว่าคุณกำลังแบกความหวังอันหนักอึ้งอยู่ หรือในทางกลับกันคุณอาจจะไม่ได้แบกความหวังของใครไว้ แต่อาจจะมีสิ่งหนึ่งที่บีบคั้นทำให้คุณศูนย์เสียความเป็นตัวเองไป
      ยิ่งโตขึ้นยิ่งใจร้าย เพื่อนของผมเคยพูดไว้ ตอนแรกผมคิดว่าเขาหมายถึงตัวเอง ที่ยิ่งโตขึ้น ยิ่งเจอแรงกดดันต่าง ๆ ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งทำให้เขาเป็นคนที่ใจร้ายขึ้น แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเพื่อนไม่ได้หมายถึงตัวเองเท่านั้นที่ใจร้าย…
     สังคม สภาพแวดล้อม เพื่อน ความสัมพันธ์ และอื่น ๆ ก็ใจร้ายกับคุณได้เช่นกัน อาจจะมีบางครั้งที่คุณรู้สึกว่าทุกคนบนโลกกำลังทอดทิ้งคุณ ทุกอย่างกำลังพังทลายและหันหลังให้กับคุณ (ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แต่ในห้วงอารมณ์ของความเศร้าโศก คุณอาจจะเจ็บปวดประมาณนั้นเลยก็ได้)
     นี่จึงเป็นเหตุผลชั้นดีที่คุณควรจะใจดีกับตัวเองบ้าง ผมเชื่อว่าในใจเราทุกคน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คุณก็น่าจะมีเด็กตัวน้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ตัวคุณอีกคน เด็กคนนั้นอาจจะชอบทานขนมที่ใส่ผงชูรสเยอะ ๆ เล่นเกมมือถือ วาดรูป อ่านการ์ตูน หรือแม้แต่ทานเยลลี่ที่หวานจนบาดคอ อย่าทอดทิ้งเด็กคนนั้นเพียงเพราะคุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเลยนะครับ อย่าทอดทิ้งความสุขของคุณ อย่าใจร้ายกับความเป็นเด็กของตัวเองเพียงเพราะคุณคิดว่าคุณโตพอที่จะเลิกทำอะไรแบบเด็ก ๆ  แล้ว
     ไม่มีคำว่าเด็กหรือไร้สาระสำหรับความสุขหรอกครับ ความสุขก็คือความสบายใจ ตราบใดที่คุณมีความสุขคุณก็คือ ‘คน’ ที่มีความสุข ไม่ใช่ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีความสุข   // อย่าปล่อยมือเด็กคนนั้นเลยนะครับ เติบโตไปพร้อม ๆ กับเขาเถอะ ;)
0 notes
ppakrop · 4 years
Text
เข้าใจบางครั้ง ยอมรับบางเรื่อง
     คุณเคยหาคำตอบให้ตัวเองมั้ยครับ? ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไร คนเราก็น่าจะต้องการคำตอบที่สนับสนุนด้วยเหตุผลเสมอ เช่น ทำไมคะแนนสอบรอบนี้ถึงไม่ดีเลย ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วแท้ ๆ ทำไมรถคันนั้นถึงขับไม่มีมารยาทเอาซะเลย ทำไมเวลาเด็กอธิบายอะไรไปผู้ใหญ่บางคนก็จะหาว่าเด็กคนนั้นเถียงเก่ง หรือแม้แต่ทำไมเราถึงถูกเอาปมด้อยมาล้อเป็นเรื่องสนุกปาก
     แต่คุณน่าจะเคยรู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องคำตอบมันออกมาไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ ทำไมถึงรู้สึกโดนเอาเปรียบได้ขนาดนี้ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย…
     สิ่งแรกที่ผมจะทำบอกคือ ‘ไม่เป็นไรนะครับ อย่าคิดมากเลย’ และสิ่งต่อไปที่จะบอกคือ ‘โลกเรามันก็แบบนี้แหละ’ ถึงจะดูไม่น่าฟังเพราะเหมือนการปลงตกและยอมพ่ายแพ้ให้กับปัญหาบางเรื่อง แต่ผมไม่ได้ต้องการให้คุณยอมแพ้จริง ๆ แต่ที่ผมต้องการคือ ให��คุณรักษาจิตใจตัวเองก่อน อะไรที่ทำให้คุณคิดมากหรือไม่สบายใจ ผมก็อยากให้คุณลองเปลี่ยนจากการ ‘เข้าใจ’ มาเป็นการ  ‘ยอมรับ’ แทน
     แล้วสองคำนี้มันต่างกันอย่างไรล่ะ สำหรับผมแล้วผมจำกัดความหมายของมันไว้แบบนี้
‘เข้าใจ’ คือ การที่คุณยอมรับมันด้วยเหตุผล เข้าใจเหตุและผลของการเกิดขึ้น ทำไมฝนจึงตก ทำไมโจทย์ข้อนี้ถึงตอบแบบนี้ ทำไมเราถึงควรทำสิ่งนี้ เป็นต้น ถ้าคุณลองได้เข้าใจเรื่องบางเรื่องคุณก็อาจจะไม่ติดใจสงสัยมันอีก เพราะคุณได้รับความกระจ่างเชิงเหตุผลแล้ว
     ส่วนการ ‘ยอมรับ’ บางครั้งมันไม่มีข้อมูลเชิงเหตุผลมารับรองได้อย่างมีน้ำหนัก จึงทำให้คุณอาจจะรู้สึกขัดใจที่จะยอมรับไปบ้าง หรือเหมือนมีตะกอนตกอยู่เล็ก ๆ ในความรู้สึก เช่น ทำไมจู่ ๆ เขาถึงเทฉันล่ะฉันทำอะไรผิดเหรอ ทำไมครูคนนี้ถึงลำเอียงกับเด็กนักเรียนจัง ทำไมเขาชอบล้อปมด้อยของคนอื่นจัง
     ผมจะย้ำอีกครั้ง ‘ผมไม่สนับสนุนให้ใครเพิกเฉยกับสิ่งที่ผิด’ การทิ้งใครไปโดยไม่มีเหตุผล การเลือกปฏิบัติกับผู้อื่น หรือการเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อเลียน ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น ผมไม่ได้สนับสนุนให้เหยื่อก้มหน้ารับชะตากรรมไปเงียบ ๆ และไม่ได้สนับสนุนให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านั้นกระทำแบบนั้นต่อไปโดยไม่สำนึกผิด
     แต่ผมเชื่อในประโยค ‘อย่าถามหาเหตุผลจากคนไม่มีเหตุผล’ ถ้าคุณรู้สึกว่าคน ๆ นี้ไร้เหตุผล คุณก็อย่าไปถามหาเหตุผลจากเขาเลย เพราะสิ่งที่คุณจะได้กลับมาคือความผิดหวังและเสียความรู้สึก บางครั้งมันอาจดูไม่ยุติธรรมที่เราเป็นฝ่ายโดนกระทำแต่กลับทำอะไรไมได้ ใช่ครับ… โลกเรามันก็แบบนี้แหละ
     สังคมเรามีผู้คนมากมายหลายแบบ นิสัยต่างกัน อะไร ๆ มากมายที่ต่างกัน คุณคงไม่สามารถเข้าใจทุกคนบนโลกและหาเหตุผลสนับสนุนทุกเรื่องได้  Save ความรู้สึกตัวเองก่อนนะครับ อย่าเอาตัวเองเข้าไปผิดหวังหรือเสียความรู้สึกเลย แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดปลงตกจนชินกับความเศร้านะครับ // ไม่ควรมีใครชินกับความเศร้าทั้งนั้น และคำว่า ‘โลกเรามันก็แบบนี้แหละ’ ก็ยังเป็นคำที่ผมเกลียดเสมอ ;)
0 notes
ppakrop · 4 years
Text
แรงขับเคลื่อนเล็กๆ
     เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563  ถ้าใครได้ตามทวิตเตอร์ของผม อาจจะเคยเห็นผมบ่นว่าวันนั้นผมอยากตาย ผมขอข้ามสาเหตุดังกล่าวไปนะครับ… แต่ถ้าให้นับจริงๆ นี่คงเป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตแล้วที่ผมคิดแบบนั้น ครั้งแรกประมาณเดือนเมษายน ปี 2560 โดยเฉลี่ยแล้วผมอยากตายปีละครั้งเลยเหรอ? 555555
     วันที่ 6 ผมจำได้ว่าผมหน่วงมากๆ กินข้าวนิดเดียว อาการเหมือนผู้ป่วยติดเตียง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเดินไปไหน นอนคิดเรื่องเก่าๆ และเปิดเพลงเดิมซ้ำๆทั้งวันจนพระอาทิตย์ตกดิน
     เพลงนั้นคือเพลง 1-800-273-8255 -- Logic, Alessia Cara, Khalid
     ท่อนที่ผมชอบมากคือ I never had a place to call my own, I never had a home… They say every life precious but nobody care about mine.
     บางครั้งผมก็รู้สึกแบบนั้น รู้สึกไม่มีที่ไป ไม่มีบ้านหรือที่ๆสบายใจ ผมเคยถูกห้ามไม่ให้ฆ่าตัวตาย เหมือนท่อนของเพลงที่บอกว่า ‘ทุกคนบอกว่าชีวิตนั้นมีค่า แต่ไม่มีใครสนใจผมเลย’ ในช่วงที่ผมหน่วง ผมจะถูกโอบกอดด้วยคำปลอบโยน แต่มันก็อยู่กับผมไม่นานนัก
     คืนนั้นผมได้โทรไปหาเพื่อนและเล่าเรื่องให้เขาฟัง บอกแม้กระทั่งผมฟังเพลงนี้ทั้งวัน เพื่อนผมถามว่ารู้ที่มาของเพลงมั้ย? ตอนแรกผมก็สงสัยอยู่ว่าชื่อเพลงดูเหมือนเบอร์โทรอะไรสักอย่างจึงไปหาข้อมูลดู และมันเป็นเบอร์โทรของสายด่วนขององค์กรป้องกันการฆ่าตัวตาย และสิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมากๆคือ ตั้งแต่เพลง 1-800-273-8255 ปล่อยออกมา มีสายด่วนโทรเข้ามาปรึกษาปัญหาเพิ่มขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ ผมว่ามันเป็นการขับเคลื่อนที่ดีนะ ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองถนัดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
     และวันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2563) ซึ่งก็คือ 1 เดือนถัดมาหลังจากที่ผมอยากตายครั้งที่ 3 ผมก็เจอการขับเคลื่อนอีกรูปแบบหนึ่ง คุณรู้จักคุณเอก HEARTROCKER มั้ยครับ? วันนี้ Youtube ของ Garena Free Fire Thailand ได้ปล่อยคลิปชื่อว่า “บทบาท” ออกมา ซึ่งเป็นคลิปที่คุณเอกได้เล่น Free Fire กับคุณเสี่ยง กิมเซียง และระหว่างที่เล่นเกมกัน คุณเสี่ยงก็ได้บอกว่าตัวเองมีอาชีพเป็นคนคัดแยกขยะ ส่วนคุณเอกก็ได้พูดให้กำลังใจเกี่ยวกับงานของคุณเสี่ยง พร้อมทั้งพูดถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ของคุณเสี่ยง
     ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าคนที่Random มาเจอกันในเกม จะกลายเป็นกำลังใจหรือแรงขับเคลื่อนให้แก่กันได้
     ผมเลยคิดว่าทุกคนสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนเล็กๆได้นะ อาจจะไม่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงสังคมจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ผมว่าแค่ช่วยคนๆหนึ่งให้รู้สึกดีขึ้นได้ แม้ว่าจะแค่ 1 นาที มันก็มีค่ามากๆแล้ว  ในวันที่เรารู้สึกอ่อนแอแค่ได้มีความสุขสัก 1 นาที มันก็เหมือนเราเจอขุมทรัพย์เลยแหละครับ
     นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ผมเริ่มเขียนบทความลง Tumblr นี้ ผมไม่ได้หวังว่าจะมีคนมาอ่านข้อความนี้ 100 หรือ 1,000 คน ผมไม่ได้หวังจะเปลี่ยนโลก ผมไม่ได้หวังว่าจะไปมีบทบาทในชีวิตใครขนาดนั้น แต่ถ้าข้อความที่ผมเขียนลงไป บังเอิญ มีประโยชน์กับใครสักคน แม้จะแค่คนเดียว ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้วครับ…
     หรืออย่างน้อยที่สุดในวันที่ผมอ่อนแอหรือสับสน พอผมได้กลับมาอ่านข้อความนี้ของตัวเอง ผมก็หวังว่าตัวผมในอดีตจะสามารถเป็นเรื่องขับเคลื่อนให้กับตัวเองในอนาคตได้ / คุณอยากลองบ้างมั้ย? ผมว่าเริ่มจากสิ่งที่คุณถ���ัดก็ได้นะ แต่งเพลง วาดรูป เขียนบทความ หรือพูดคุยกับผู้คน ผมว่าคุณทำได้นะครับ ;)
0 notes
ppakrop · 4 years
Text
เสียเวลา or ใช้เวลา
     หลายๆคนรวมถึงตัวผมเองอาจจะเคยรู้สึกว่า ‘นี่เรากำลังทำอะไรอยู่’ ทำไมเราต้องเรียนคณะนี้ด้วย หรือทำอะไรแบบนี้ด้วย ช่างเสียดายเวลาที่ผ่านมาจริงๆ จะถอยก็ไม่ได้ เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ฝ่าฟันมา แต่ครั้นจะไปต่อก็ไม่ไหว… เราควรฝืนเดินต่อหรือถอยหลังดี?
      สำหรับปัญหานี้ผมคงไม่สามารถแนะนำคุณได้โดยตรงว่าคุณควรจะเดินทางไหน  แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ
     “ผมไม่คิดว่าบนโลกนี้มีคำว่าเสียเวลา”
     เพราะอะไรน่ะเหรอ?  เพราะว่าทุกครั้งที่คุณก้าวเดินแม้ว่ามันจะผิดพลาด แต่มันก็เป็นประสบการณ์ให้คุณได้เรียนรู้ แม้ว่าจะบอกว่า ‘ก็ฉันไม่ได้อยากเรียนรู้สักหน่อย’ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คุณก็ต้องหาประโยชน์จากมันสิครับ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้คุณหลงทางเพราะเลี้ยวรถมายังทางที่ไม่คุ้นเคย แทนที่คุณจะคิดว่า ‘เสียเวลาจริงๆ ไม่น่าเลี้ยวมาทางนี้เลย’ ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนความคิดเป็น ‘อ๋อ! ทางนี้มันไปไม่ได้นี่นา จะจำไว้แล้วกัน’ จริงๆใจความก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่การคิดที่ต่างกันอาจจะช่วยปรับมุมมองของคุณได้ ทำให้คุณไม่รู้สึกแย่กับเหตุการณ์นั้นเกินไป
     ผมเคยคุยกับพ่อของผมว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีประโยชน์จริงๆหรือไม่ พ่อให้ผมยกตัวอย่างในประเด็นนี้ และสิ่งที่ผมหยิบยกขึ้นมาพูดคือ “แม้นักโทษที่ถูกต้องขังในเรือนจำ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียเวลา”
     คุณเคยใช้พจนานุกรมอังกฤษ-ไทยไหมครับ หรือพอจะคุ้นชื่อของอาจารย์สอ เสถบุตร หรือเปล่า ท่านคือนักโทษทางการเมืองที่ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต และท่านใช้เวลาเขียนพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยในระหว่างที่ถูกต้องขัง รวบรวมความรู้ทั้งหมดถ่ายทอดออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม
     แม้ว่าคุณจะถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก แต่คุณก็ยังมีเวลาอยู่กับตัวเอง พูดคุย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น ตอนนั้นผมบอกกับพ่อไปว่าสมมุติถ้าผมติดคุก แม้ว่าผมจะไม่เก่งเท่าอาจารย์สอ เสถบุตร แต่ผมจะเอาประสบการณ์ชีวิตในคุกของผมมาเขียนเป็นหนังสือสักเล่ม เพราะผมมีเรื่องราวชีวิตในคุกที่คนอื่นไม่เคยสัมผัส (และคงไม่อยากสัมผัสด้วยตัวเอง) ถ้าผมเก่งพอ ผมอาจจะมีบทละครเป็นของตัวเองก็ได้นะ หรือไม่ก็เดินสายเป็นวิทยากร รับงานบรรยายถ่ายทอดให้กำลังใจ เล่าเรื่องของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ ไม่ให้คนเลือกเดินทางผิดแบบผม
     สิ่งที่ผมต้องการจะบอกจริงๆคือ ผมไม่เคยมองว่าเรื่องใดเป็นการเสียเวลา แต่กลับเป็นการใช้เวลาเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ‘ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ในจุดที่ได้เรียนรู้เรื่องเดียวกับคุณ’ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ลองหาประโยชน์จากมัน เรียนรู้ จดจำ และลองถ่ายทอดให้คนอื่นๆบ้างสิครับ ผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเหมือนกันนะ / ถึงตอนนี้แล้วคุณยังรู้สึกว่า ‘เสียเวลา’ เป็นคำที่มีอยู่จริงหรือเปล่า? มีอะไรก็มาแชร์กันได้นะครับ ;)
0 notes
ppakrop · 4 years
Text
การเติบโต ความกลัวและความเจ็บปวด
     เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมอยากรีบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ เพียงเพราะเหตุผลเล็กน้อย เช่น ผมอยากนอนดึก ตอนเด็ก ๆ แม่มักจะไล่ให้ผมเข้านอนก่อน 3 ทุ่มเสมอ แต่จำได้ว่าละครหลังข่าวมันน่าจะจบประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ  ตอนนี้ผมอายุ20กว่าแล้ว ก็ถือว่าโตในระดับนึง แต่สิ่งที่ย้อนแย้งคือ ผมนอนดึกได้แต่กลับโหยหาเวลานอนมากกว่าการดูละครเสียอีก…
     ในอายุ20กว่า ๆ ของผม อาจจะไม่ได้ผ่านอะไรมาเยอะมากมาย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้มีประโยคนึงผุดขึ้นมาในหัว คือ
‘ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย’  นั่นคือความย้อนแย้งอีกเรื่องที่ผมมี
     ไม่ว่าเรื่องอะไรจะทำให้ผมหรือคุณคิดแบบนั้น แต่ผมมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ‘มนุษย์คู่กับความเจ็บปวด’ เราเจ็บปวดเพื่อเรียนรู้ และเรียนรู้เพื่อเติบโต
     มันไม่ใช่เรื่องแย่เลยถ้าคุณจะตัดสินใจผิดพลาดหรือเผลอทำผิดไปในช่วงเวลานึง เพราะตราบใดที่คุณรู้ตัวว่า ‘นี่เรากำลังทำผิดนะ’ นั่นคือช่วงเวลาของโอกาส… โอกาสที่คุณจะเริ่มแก้ไขหรือทำให้ดีขึ้นได้ บางครั้งคุณอาจจะรู้สึกหวาดกลัว โดดเดี่ยว อยากร้องไห้ หรือโมโหตัวเอง นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณเลยที่คุณรับมือกับอารมณ์เหล่านั้นไม่ได้ เพราะตราบใดที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณก็จะมีอารมณ์เหล่านั้นปนเปมาบ้าง ใช่ครับ… เพราะว่าคุณยังมีความรู้สึก นั่นก็แสดงว่าคุณเสียใจได้ และหากคุณเสียใจได้คุณก็ดีใจได้ คุณหวาดกลัวได้คุณก็กล้าหาญได้เช่นกัน
     แม้ว่าวันนี้อาจจะไม่ใช่วันที่ดีนัก คุณอาจจะไม่ชอบอารมณ์ของคุณในขณะนี้หรืออาจจะมีเรื่องราวต่างๆมากมายทำให้คุณรู้สึกแย่ แต่มันก็ไม่ได้อยู่กับคุณตลอดไปหรอกครับ เดี๋ยวคุณก็จะมีอารมณ์ที่ดีขึ้น สดใสขึ้น และกว่าคุณจะรู้ตัวรอยยิ้มของคุณอาจจะปรากฎอยู่บนใบหน้าแล้วก็ได้ / เวลาคุณยิ้ม คุณน่ารักนะครับ ;)
2 notes · View notes